แล้ว!! ประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ช่วง “วันหยุดยาว” อีกครั้ง หลังรัฐบาลรักษาการของ “บิ๊กตู่” ได้ประกาศให้วันที่ 31 ก.ค.นี้ เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวได้มากขึ้น เพราะมีวันหยุดราชการมากถึง 6 วัน
วันหยุดยาวรอบนี้ ได้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก เพราะเป็นการประกาศแบบฉุกละหุก ทำให้ใครหลายคน หลายองค์กร หลายหน่วยงาน เตรียมตัวกันไม่ทัน!!
ขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องมี “ต้นทุน” เพิ่ม จากการต้องจ้างแรงงานเพิ่ม เพราะบางกลุ่มบางธุรกิจหรือบางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตจำเป็นต้องจ้างงาน แม้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญก็ตาม
อย่างไรก็ตามการประกาศวันหยุดยาว ๆ แบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลลุงตู่ได้ประกาศวันหยุดราชการกรณีพิเศษ นี้หลายครั้งหลายครา
เหตุผลใหญ่ ก็หวังว่าจะช่วยกระตุกกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น เพื่อช่วยทำให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจในประเทศเดินหน้าต่อเนื่องได้
อย่าลืมว่า ณ เวลานี้ ประเทศไทยกำลังเดินอยู่ในห้วงของสุญญากาศ เพราะสถานการณ์การเมืองยังฝุ่นตลบ ยังไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ยังไม่มีรัฐบาล ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ
ขณะเดียวกันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ ก็ไม่มีอะไรใหม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังถดถอยที่กระเทือนมาถึงไทย จนทำให้คนไทยในเวลานี้ยังต้องพบเจอกับสารพันปัญหา
อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างการท่องเที่ยว ถือเป็นหนึ่งในความหวังที่รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือให้เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ไม่สามารถทัดเทียมกับรายได้จากการส่งออกที่กำลังหดตัวอย่างหนัก ก็ตาม
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือททท. คาดหมายว่า ในช่วงวันหยุดยาว 28 ก.ค.- 2 ส.ค.66 นี้ ครั้งนี้จะทำให้เกิดการใช้จ่ายต่อเนื่อง หรือเกิดเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 1.66 หมื่นล้านบาท โดยมีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวกว่า 4.96 ล้านคน–ครั้ง เพราะเชื่อว่าคนไทยจะเตรียมตัวใช้ห้วงโอกาสนี้ไปเที่ยวเมืองนอกไม่ทัน และหันมาเที่ยวในประเทศแทน
ขณะเดียวกันททท.ได้จัดงาน“เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” ปี 66 วันที่ 2-6 ส.ค.นี้ โดยรวบรวมของดีของเด็ดทั่วไทยมานำเสนอ และชูแนวคิดนววัฒนธรรม โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาผสมผสานกับวัฒนธรรมไทย เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ทั้งนั้น งานนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งงานในการกระตุกต่อมให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ช่วงไฮซีซั่น เพราะในงานนี้ได้รวบรวมบรรดาแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก และที่เกี่ยวเนื่องในราคาพิเศษมาดึงดูดอีกด้วย
ทั้งหลายทั้งปวง ได้คาดหวังไว้ว่า ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 66 โดยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 2.38 ล้านล้านบาท แยกเป็นรายได้จากคนไทยเที่ยวไทย 160 ล้านคน–ครั้ง สร้างรายได้ 8.8 แสนล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 25-30 ล้านคน
แต่ความคาดหวังครั้งนี้จะสมดั่งใจหรือไม่? คงต้องรอดูกันอีกครั้ง ว่าคนไทยจะหลงติดกับดักนี้หรือไม่? แต่เชื่อเถอะ!! ต่อให้มีวันหยุดยาวหรือไม่มีวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวไทยก็วางแผนไปเที่ยวเมืองนอกกันอยู่แล้ว
ล่าสุดภาคเอกชนเอง ได้ออกมาคาดการณ์ว่าในปี 66 นี้ จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมากถึง 7.5 ล้านคน แม้ยังไม่เท่าช่วงพีกในช่วงก่อนเกิดโควิด ที่มีคนไทยเดินทางไปเมืองนอกมากถึง 10.44 ล้านคน แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนถึง 71.8% ทีเดียว
ขณะที่การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของค่ายใหญ่ ในครึ่งปีแรกก็เพิ่มขึ้นไปแล้วกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากช่วงโควิดถึง 25% ซึ่งเชื่อกันว่าในช่วงครึ่งหลังและกำลังก้าวเข้าสู่ไฮซีซั่นหรือช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เพราะ…การรูดปื๊ดขณะนี้ก็หนักไปกับการใช้จ่ายในหมวดของสายการบิน บริษัทท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม ภัตตาคาร รถเช่า การเดินทางขนส่ง แหล่งท่องเที่ยว
และที่น่าสนใจ พบว่าการรูดปื๊ดในต่างประเทศ หนีไม่พ้น ประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ชื่นชอบของคนไทยอย่างมาก รองลงมา เป็นเกาหลี ฝรั่งเศส ฮ่องกง และเวียดนาม
หากดูไปแล้ว แต่ละประเทศ ก็เป็นแหล่งชอปปิงที่คนไทยนิยมไม่น้อย แม้ว่ายอดเฉลี่ยในการรูดปื๊ดในหมวดท่องเที่ยวจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 บาท
เอาเป็นว่า… จากนี้ไปคงต้องมารอดูกันว่ากลยุทธ์ “วันหยุดยาว” ของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยหรือดันคนไทยแห่แหนไปเที่ยวเมืองนอกกันแน่?
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”