วิทยาศาสตร์การกีฬากับฟุตบอลในปัจจุบัน นั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้นักกีฬาแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ หรือลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

สิ่งเหล่านี้ หากใครมีความก้าวหน้ามากกว่ากัน ก็จะส่งผลถึงความได้เปรียบในการทำผลงานที่ดีออกมา ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องของแท็กติกเพียงอย่างเดียว

แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มีความล้ำทางวิทยาศาสตร์การกีฬาในระดับท็อปของโลก ก็มีสิ่งนี้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จเช่นกัน

ภายในสนามซ้อมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่โถงพักนักกีฬา จะมีช่องเล็กๆ และมีป้ายชื่อของนักเตะแต่ละคนอยู่ แต่ละช่องจะมีเหมือนโหล 2 อันวางไว้ อันนึงเล็ก อันนึงใหญ่

อันเล็ก จะใช้สำหรับใส่อาหารเสริม เช่น น้ำมันตับปลา วิตามินรวม เพื่อไว้เสริมให้กับผู้เล่นที่ขาดวิตามิน

ส่วนอันใหญ่ จะเป็นเครื่องดื่มชููกำลังที่จัดเตรียมไว้ให้แต่ละคน แต่ละคน จะได้สารอาหารที่ไม่เหมือนกัน

เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือสารอาหารที่นักเตะคนนั้นนั้นต้องการ จากการวิเคราะห์ผ่านเลือด และน้ำลาย จากการตรวจ

แซม แอริธ อดีตหัวหน้าทีมสมรรถภาพของ แมนฯซิตี เคยกล่าวในปี 2012 ว่า “พรีเมียร์ ลีก เป็นลีกที่ดุเดือด สมรรถภาพทางกายของผู้เล่นเป็นสิ่งสำคัญ”

“พวกเขาเล่นเกมจำนวนมาก และระดับพลังงานจะลดลงเสมอหลังการแข่งขัน ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะช่วยให้พวกเขาพร้อมสำหรับเกมถัดไป”

“ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของเรา ทอม แพรรี่ จะพูดคุยกับผู้เล่น และวิเคราะห์อาหารและลักษณะนิสัยของพวกเขา เราดูข้อมูลเลือด เพื่อดูว่ามีข้อบกพร่องหรือปัญหาใดๆหรือไม่

“บางส่วนในน้ำลาย อาจแสดงให้เห็นถึงระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลาย”

“ผลการประมวลรวมการทำงานของร่างกายของพวกเขาในการแข่งขันหรือการซ้อม จะช่วยให้เราแนะเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางโภชนาการ และการฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เหมาะสมที่สุดได้”

“การรับประทานอาหารที่ดี ไม่ได้เปลี่ยนนักฟุตบอลที่ไม่ดี ให้กลายเป็นนักฟุตบอลที่ดี แต่หากผู้เล่น รับประทานอาหารที่สมดุล และดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม พวกเขาก็จะมีโอกาสที่จะลงเล่นอย่างเต็มศักยภาพ อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งฤดูกาล”

ยอดโค้ช เปป กวาร์ดิโอลา

นอกจากเรื่องการโภชนาการแล้ว เรือใบสีฟ้า ยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ในการช่วยในเรื่องของการป้องกันอาการบาดเจ็บ

“ตั้งแต่นาทีแรกที่จบเกม กระบวนการการฟื้นฟูจะเริ่มต้นทันที่ ผู้เล่นจะไปอาบน้ำเย็น และทำตามกลยุทธ์การฟื้นฟูพลังงานที่สูญเสียไป ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

“นักกายภาพบำบัด และนักบำบัดเนื้อเยื่อ จะทำงานร่วมกับผู้เล่น เพื่อพยายามป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นในการซ้อมหรือการแข่งขัน”

“ในการฝึกซ้อม ผู้เล่นทุกคนจะซ้อมด้วยการติด GPS อยู่ที่อก มันจะช่วยให้เราติดตามทุกการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงของความเร็ว ระยะทางการวิ่ง และอัตราการเต้นของหัวใจ และจัดทำแผนภูมิกราฟิกสำหรับโค้ช เพื่อวิเคราะห์เมื่อสิ้นสุดการซ้อมในแต่ละครั้ง”

แมนฯซิตี ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการรักษาความฟิตของนักเตะ โดยเป็นทีมที่มีนักเตะบาดเจ็บหนักๆ และจำนวนครั้งที่เจ็บ น้อยกว่าสโมสรอื่นๆใน พรีเมียร์ ลีก

“ตอนที่ผมมาที่นี่ครั้งแรก ผมรู้สึกประหลาดใจมากกับความมุ่งมั่นของอังกฤษ ที่มีต่อวิทยาศาสตร์การกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้” อิวาน กามินาตี อดีตโค้ชฟิตเนส ที่เคยเข้าทำงานกับ แมนฯซตี้ ในปี 2009 กล่าว

ตัวของ กามินาตี เอง ก็เชื่อว่าว่า พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มีความก้าวหน้าด้าน วิทยาศาสตร์การกีฬา และฟิตเนส มากกว่า ซีเรีย อา อิตาลี

“ผมคิดว่าพวกเขาทุ่มเงินมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ การจะประสบความสำเร็จ นักเตะ โค้ช และทุกๆ คนมองไปในทิศทางเดียวกัน คนดูแลอุปกรณ์ แพทย์ สตาฟฟ์ฟิตเนส และสตาฟฟ์โค้ช พวกเราคือทีม และทุกคนมีส่วนร่วม”

มาถึงจุดนี้ ทุกคนคงไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเรื่องโภชนาการ หรือการฟื้นฟูต่างๆ ทีมไหนก็ทำกันทั้งนั้นในฟุตบอลสมัยนี้ แต่อย่าลืมว่า นั่นคือ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน

ปี 2008 หลังจากสโมสรถูกเทคโอเวอร์ แมนฯซิตี้ ได้ทุ่มเงินกว่า 200 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างสนามซ้อมแห่งใหม่ขึ้น กลายเป็นหนึ่งในสนามซ้อม และอคาเดมีระดับสุดยอดของโลก

เงิน ความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างทีมอย่างลงตัว สามารถเปลี่ยน แมนฯซิตี จากทีมระดับบ้านๆ มาเป็นทีมระดับท็อปของลีก

แม้หลายคน อาจมองแมนฯซิตี เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการใช้เงินมหาศาลในการสร้างทีม แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทีมใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะในอดีต หรือปัจจุบัน ก็ต้องใช้เงินในการสร้างทีมทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะจัดสรรเม็ดเงินเหล่านั้นออกมาอย่างไร

ความสำเร็จของ แมนฯซิตี บ่งบอกถึงรากฐานความแข็งแกร่งของสโมสรที่สร้างมา ไม่ว่าการจะเป็นเรื่องการซื้อนักเตะ ไปจนถึงการให้ความสำคัญอย่างมากกับวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่จะสร้างข้อได้เปรียบที่มากกว่า หรือเพียงเล็กน้อย ระหว่างพวกเขาและคู่แข่ง.