ย้อนไปในปี 1997 เอริก คันโตนา กองหน้ากัปตันทีม ที่เป็นดั่ง “ราชา” ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศแขวนสตั๊ดช็อกโลก ด้วยวัยเพียง 30 ซึ่งว่ากันว่า นี่น่าจะเป็นช่วงที่เขาพีคที่สุด ในช่วงเวลาของการเป็นนักเตะในตอนนั้น

เขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการนำปิศาจแดงกลับสู่ความยิ่งใหญ่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี เขาพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ 4 สมัย และถ้วย เอฟเอ คัพ อีก 2 สมัย ทำไปทั้งสิ้น 82 ประตู จากการลงเล่นให้ทีม ปิศาจแดง 182 นัด

การประกาศเลิกเล่นแบบไม่เป็นทางการนั้น เริ่มจากเกมฟุตบอลยุโรป ในปี 1997 ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พ่ายต่อ โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ และจบเส้นทางการลุ้นแชมป์ยุโรป ไปโดยปริยาย

หลังจากเกมนั้น เลียม เคอร์เลส นักข่าวจาก แมนเชสเตอร์ อีฟนิง นิวส์ กล่าวว่า “ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจาก ยูไนเต็ด โดน โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ เขี่ยตกรอบรองชนะเลิศในถ้วยยุโรปฤดูกาล 1996-97 เอริก คันโตนา ขอเข้าพบกับ เฟอร์กูสัน แบบเป็นการส่วนตัว เพื่อบอกว่า เขาจะเลิกเล่นหลังจากสิ้นสุดฤดูกาล”

“จริงอยู่ที่ความพ่ายแพ้ในเกมนั้น ส่งผลต่อจิตใจแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกคน อีกเพียงก้าวเดียว ก็จะไปถึงนัดชิงชนะเลิศแล้ว แต่เชื่อเถอะ ความผิดหวังในเกมนั้น ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งที่ คันโตนา ประกาศเลิกเล่นเลย” อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูฯ ในขณะนั้นกล่าว

นอกจากแฟนบอลจะช็อกแล้ว เฟอร์กี นี่แหละ ที่ช็อกมากกว่า เพราะตัวเขารักลูกทีมคนนี้มาก แม้จะด่าก็แทบไม่เคย เขามี คันโตนา เป็นดั่งอัศวินข้างกายที่ขาดไม่ได้ และเป็นแกนนำที่พาทีมคว้าชัยนะมาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ถ้าเป็นก่อนหน้าช่วงเวลานั้น ผมว่าผมเอาเขาอยู่นะ ผมสามารถจะเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่กับเราต่อไปได้ แต่คราวนี้มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง” เฟอร์กี กล่าวในวันขึ้นแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับ คันโตนา ที่อยู่ตรงนั้นเช่นกัน

คันโตนา พูดต่อ “ผมเล่นฟุตบอลอาชีพมา 13 ปี และนั่นมันยาวนานมาก และผมคิดว่า ผมควรทำอย่างอื่นมากกว่า ผมวางแผนเรื่องการแขวนสตั๊ดกับตัวเองเสมอ ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นในวันที่ผมยังอยู่บนจุดสูงสุดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และผมคิดว่าตอนนี้แหละ คือจุดสุดยอดในอาชีพที่ผมหมายถึง”

ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ เขาพอแล้วกับฟุตบอล ซึ่งมันทำให้เห็นว่า เขาเลือกที่จะจบอาชีพของตน โดยอยู่ที่จุดสูงสุด ก่อนที่จะปล่อยให้ช่วงพีคหมดลงจนแขวนสตั๊ด ดั่งนักเตะหลายๆ คน

แต่ คันโตนา เล่าถึงเหตุผลในการเลิกเล่นใน Podcast ของตัวเองว่า “ผมหมดความท้าทายในฟุตบอลระดับสูง ต้องการอะไรจากนักเตะคนหนึ่งบ้าง? อย่างแรก คุณต้องมีสมาธิให้มากกับงานที่ทำ และสิ่งที่ 2 คือสิ่งสำคัญมาก การที่คุณจะมีสมาธิได้ คุณต้องมีความหลงใหลในงานที่ทำก่อน”

“หากไร้ซึ่งสิ่งนี้ รับรองได้เลยคุณจะเริ่มสูญเสียอะไรบางอย่างไปทีละนิดๆ จนรู้ตัวอีกทีคุณจะตกจากจุดที่คุณเคยอยู่ หลุดจากระดับที่คุณเคยทำได้ จำไว้ว่าความหลงใหลในสิ่งที่ทำ จะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น แต่ถ้าคุณไม่มีสิ่งนั้น คุณต้องรู้ตัวว่า ฉันจะไม่มีทางเก่งไปกว่านี้อีกแล้ว” เขาอธิบาย

“ผมว่าถ้าผมไม่แขวนสตั๊ดในวันนั้น ผมน่าจะเล่นได้อีกสัก 10 ปี แต่ผมไม่ทำหรอก มันอาจจะนานกว่านั้นก็ได้ตราบใดที่ยังรักในสิ่งที่ทำ เชื่อไหมผมถามตัวเองทุกวันว่า ไอ้ความรู้สึกรักและหลงใหล มันคงเหมือนสวิตช์ไฟสำหรับผม อีกไม่นานคงมีใครมาเปิดมัน ผมคุยกับตัวเองว่า ‘เดี๋ยวมัน (แพสชั่น) ก็กลับมา เดี๋ยวมันก็กลับมา’ คิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น แต่จริงๆแล้ว มันไม่เคยกลับมาหาผมเลย”

สิ่งที่เขาพูดมา ล้วนบอกทุกสิ่งทุกอย่างแบบหมดเปลือก นั่นคือ การที่เขาหมดแพสชั่น กับการเป็นนักฟุตบอล ซึ่งใครจะรู้หากมองภายนอก คิง คันโตนา ผู้ยิ่งใหญ่และอหังกาล ผู้ที่เป็นดั่งผู้นำของเหล่านักเตะ และที่รักของแฟนบอล กลับเกิดปัญหาสภาพจิตใจ และหมดแพสชั่นกับสิ่งที่เขาทำ

หลังจากนั้น คันโตนา ได้พบกับเส้นทางสายบันเทิง ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีแพสชั่นกับมันอีกครั้ง ดั่งเช่นตอนที่เขาเคยมีในตอนเล่นฟุตบอล ซึ่งผลงานอาจจะไม่ได้ไปไกลอะไรขนาดนั้น แต่ก็มีผลงานให้เห็นอยู่หลายเรื่อง รวมถึงละครเวที

“ผมรู้สึกมีความสุขมากกับโลกแห่งจินตนาการ เพื่อจะได้หนีไปจากโลกแห่งความเป็นจริงในบางที สำหรับผมแล้ว ฟุตบอล หนัง โรงละคร หรือ การถ่ายภาพ ล้วนแต่เป็นหนทางในการแสดงออกในความเป็นตัวตนของเราเอง” คันโตนา กล่าว

ซึ่งสิ่งที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ในงานบันเทิง คือการได้ไปเล่นเอ็มวี ในเพลง Once ของ เลียม กัลลาเกอร์ อดีตนักร้องวง Oasis ที่เกลียด แมนฯ ยูฯ เข้าไส้ แต่ยกย่องนับถือ คันโตนา เป็นอย่างมาก ซึ่งในเอ็มวี คันโตนา สวมบทบาทเหมือนราชา สวมมงกุฎและผ้าคลุม ร้องเพลงเดินไปมาอยู่ในคฤหาสน์หลังโต

“ผมโคตรระทึกเลย ที่ได้ทำงานกับนักบอลร็อกแอนด์โรลล์คนสุดท้าย เพลงแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เหมือนกับนักบอลแบบเขานั่นแหละ” เลียม กล่าว

เลียม ยังเคยเล่าเรื่องตลกถึงการดีล คันโตนา มาอยู่ในเอ็มวี “มีคนบอกว่าเขา (คันโตนา) ชอบเพลงนี้มาก ซึ่งผมก็ไม่ได้ชอบทำวิดีโออะไรหรอก แต่ก็เอาสิ เราถามเขาว่า เขาต้องการเล่นเอ็มวี หรือเปล่า เขาบอกว่า ‘เอาสิ’ แล้วคุณต้องการเงินเท่าไหร่ล่ะ? ‘ผมไม่ต้องการอะไร’ บอกให้พวกเรารู้ก็ได้ ว่าคุณต้องการเครื่องบินรอบไหน? ‘ผมจะขึ้นเครื่องบินไปเอง’ โรงแรมล่ะ? ‘ผมไม่ต้องการโรงแรม’ คุณต้องการที่นอนสิโว้ย”

“เราจะเอารถไปรับคุณที่สถามบินแล้วกัน แล้วก็เอาถุงนอนไปให้คุณ ‘ผมจะเอาถุงนอนของผมไปเอง’ ผมจะเอารถไปให้คุณที่สนามบิน และก็พาคุณขับไป ‘ผมจะเอารถไปเอง’ เราจะรับผิดชอบเรื่องอาหารให้ คุณไม่ต้องการหรอ? ‘ผมจะเอาอาหารไปเอง’ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ!”

“สุดท้ายแล้ว ก็นั่นแหละ ทั้งหมดที่เขาทำ เขานั่ง และก็ดื่มไวน์ (ใน MV) แสดงจนจบ และผมก็บอกว่าลาก่อน เขาตอบมาว่า ลาก่อนไอ้เพื่อนชาวอังกฤษ”

จริงเท็จประการใดไม่รู้ แต่นี่คือสิ่งที่เล่าออกมาจากปาก เลียม แสดงให้เห็นถึงความ ติสต์ ของ คิง คันโตนา โดยในเอ็มวีนั้น เขาอินไปกับมัน และเล่นราวกับเป็นเรื่องราวชีวิตของตัวเขาเอง ดั่งประโยคหนึ่งในเพลงที่ว่า “เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น คุณรู้สึกมีแรงบันดาลใจที่จะทำมันอีกครั้ง แต่คุณคิดผิด คุณจะทำมันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแหละ”

ชีวิตของ คันโตนา เหมือนกับเพลงนี้ไม่มีผิด สุดท้ายแล้ว เขาค้นพบสิ่งใหม่ที่เขามีแพlชั่นที่จะทำมัน ทิ้งอดีตไว้เป็นตำนาน ว่าครั้งหนึ่ง เขายิ่งใหญ่เพียงใด ในประวัติศาสตร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เปรมโชค พันเดช ผู้เขียน