ผู้ที่สะท้อนข้างต้นเพื่อให้เห็นภาพ “ปัญหาส่วย” นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…คือ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ หนึ่งในนักวิจัยรุ่นบุกเบิกในการติดตามศึกษาวิจัยเชิงเจาะลึกเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องนี้ ผ่านงานวิจัยเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจใต้ดิน” ตั้งแต่เรื่องบ่อน หวยเถื่อน โดยมี “ส่วย” เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มีในเศรษฐกิจใต้ดินด้วย ซึ่งในช่วงที่สังคมไทยหันมาสนใจปัญหานี้กันมากอีกครั้ง ก็แน่นอนว่า… “เสียงสะท้อน” ของผู้เชี่ยวชาญท่านนี้นั้น…

“ยิ่งน่าสนใจ” พร้อมมี “มุมวิเคราะห์”

ต่อกรณีปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง “ส่วย”…

ในฐานะหนึ่งในผู้ที่ติดตามปัญหานี้มานาน

อนึ่ง ย้อนหลังกลับไปในช่วงกว่าสิบปีที่แล้ว เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของ “เศรษฐกิจใต้ดิน” ทั้งปัญหาหวยใต้ดิน และบ่อน รวมถึง “ปัญหาส่วย”นั้น ชื่อของ รศ.ดร.สังศิต จะต้องถูกหยิบยกนำมาอ้างถึงอย่างแน่นอน เพราะอาจารย์นั้นนับเป็นหนึ่งในนักวิชาการรุ่นแรก ๆ รุ่นบุกเบิกของเมืองไทยคนหนึ่ง ที่ได้มีการนำเอาเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อเพื่อศึกษาวิจัยค้นคว้า และก็ได้มีการเปิดเผยมุมมองใหม่ ๆ ให้สังคมไทยได้เข้าใจและเห็นถึงสถานการณ์เกี่ยวกับกรณีปัญหาดังกล่าว และเมื่อปัญหาเกี่ยวกับ “ส่วย” นี้ได้วนเวียนและกลับมาผุดขึ้นอีกครั้งในเวลานี้ ก็ขอย้ำว่า…แน่นอนว่า “มุมมองของอาจารย์สังศิต” ย่อม “น่ารับฟัง”

ทั้งนี้ ปัจจุบันทาง รศ.ดร.สังศิต ดำรงตำแหน่ง อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และนอกจากนั้นก็ยังสวมหมวกเป็น ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา อีกด้วย โดยกับประเด็นของ “ส่วย” ที่กลับมาผุดขึ้นอีกครั้งในเวลานี้ กับกรณีนี้ทาง รศ.ดร.สังศิต ได้สะท้อนกับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาว่า… การที่เรื่องส่วยเป็นประเด็นขึ้นอีกครั้งก็สะท้อนชัดเจนว่า “ส่วยไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย!!” ซึ่งทุกครั้งที่เรื่องนี้เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ สังคมก็จะสนใจคึกคัก จนเมื่อกระแสค่อย ๆ ซาลง หรือ “คนไม่ค่อยสนใจ”เหมือนเดิม…

“ระบบส่วยก็จะกลับมามีเหมือนเดิม”…

จะ “วนเวียนเช่นนี้มาเรื่อย ๆ อยู่ตลอด”

อย่างไรก็ตาม ทาง รศ.ดร.สังศิต ได้ระบุกับ ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ว่า… การที่มีผู้ที่เปิดแผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเรื่อย ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยทำให้ปัญหานี้ไม่เงียบต่อเนื่องไปนาน ๆ อย่างเช่นที่ทางว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล คือ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของ “ส่วยสติกเกอร์” ซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก

“กรณีที่ถูกเปิดเผยล่าสุด ยิ่งทำให้เห็นว่า…ระบบตำรวจที่มีเรื่องส่วยที่เป็นอยู่ขณะนี้ เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดของระบบราชการไทย ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าในบรรดาหน่วยงานราชการทั้งหมดของไทย  ตำรวจเป็นปัญหาใหญ่โตที่สุด ถึงแม้จะมีความพยายามที่จะปฏิรูประบบตำรวจ แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จสักครั้ง” …อาจารย์สังศิต ระบุ

พร้อมขยายความเพิ่มเติมว่า…ปัจจัยที่ทำให้การปฏิรูประบบตำรวจไม่สำเร็จ เพราะส่วนหนึ่งมีการต่อต้านจากตำรวจ ทั้งที่อยู่ในระบบ รวมถึงที่เกษียณไปแล้ว ที่มีบางส่วนที่ไม่ยอมให้ระบบเดิมยกเลิก เพราะเป็นระบบที่หาผลประโยชน์ได้มหาศาล ทั้งที่เรื่องนี้เป็นตัวการทำลายระบบเศรษฐกิจไทยร้ายแรง ทำให้ไทยขาดความสามารถในการแข่งขัน แทนที่กำไรจะได้ใช้เป็นต้นทุนธุรกิจ ก็ต้องแบ่งเอาไปจ่ายส่วย …อาจารย์สังศิตฉายภาพ “ปัญหาจากระบบส่วย” ที่ไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะกลุ่ม…

มัน “ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศไทยด้วย”

นอกจากนั้น นักวิชาการท่านเดิมยังได้ระบุผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” อีกว่า… แม้ผู้บังคับบัญชาปัจจุบันของหน่วยงานตำรวจที่กำลังตกเป็นประเด็นจะมีความพยายามโดยยุบหน่วยเฉพาะกิจ ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจดี แต่ก็คงยังไม่เพียงพอที่จะกำจัดปัญหานี้ได้เด็ดขาด โดยอาจแค่ทำให้ชะงักระยะสั้น ๆ แค่ระยะเดียว? หลังจากนั้นส่วยก็จะกลับมาทำงานเหมือนเดิมอีก? ดังนั้น ทางที่จะแก้ปัญหาส่วยได้คือจะต้องปฏิรูประบบตำรวจ โดยอาจต้องเริ่มจาก ทำให้ระบบเล็กลง เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบเพราะหากระบบยังใหญ่โตอยู่แบบนี้ ย่อมไม่มีหน่วยงานไหนในประเทศไทยไปตรวจสอบการทุจริตได้

ทั้งนี้ รศ.ดร.สังศิต ทิ้งท้ายกับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ว่า… ที่ผ่านมาแม้มีการนำเสนอหรือผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหา “ส่วย” แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะ ยังไม่มีรัฐบาลชุดไหนที่กล้าหาญพอจะแก้จริงจัง?? ที่ผ่านมาที่เห็นก็เหมือนกันหมด ปัญหานี้จึงมีแต่นับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น กลายเป็น “ปิศาจที่ครอบงำสังคม” เป็นอีกหนึ่ง “เงามืดของประเทศไทย” โดยปัญหานี้จะแก้ได้ต้องมาจากรัฐบาลที่สุจริตและตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหา ซึ่งการแก้ก็มิใช่ว่าพอลงลึกแล้วไปเจอพรรคพวกก็ไม่ไปต่อ??

“เรื่องส่วยเป็นวังวนไม่จบสิ้น เพราะปัญหาไม่ได้หมดไป แค่ซุกเอาไว้ ดังนั้นคงต้องหวังพึ่งรัฐบาลใหม่ว่าจะแก้เรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแค่เรื่องทุจริต แต่ทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้ายากด้วย” …นี่ก็เป็น “เสียงสะท้อน” จากทาง รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ผู้ที่ “บุกเบิกศึกษา” และ “เจาะลึกเชิงวิชาการ” กับ “ปัญหาส่วย”

ปัญหานี้ถูกเปรียบเป็น “เงามืดของไทย”

ถูกเปรียบเป็น “ปิศาจครอบงำสังคม”…  

รอดูกัน “มันจะอมตะต่อไปอีกมั้ย??”.