หลังจากคอหนังกำลังอิ่มเอมกับ “ดิสนีย์พลัส” ที่มีภาพยนตร์ทำเงินระดับโลกจากค่ายดังโดยเฉพาะ “มาร์เวล” และ “X-MEN” ที่จะหนักให้ได้ดูกันแบบครบทุกเรื่อง ทั้งหนังที่ฉายในโรงภาพยนตร์ไปจนถึงซีรีส์ภาคแยก นอกจากนี้ยังมี แอนิเมชั่นสนุก ๆ จาก “ดิสนีย์พิกซาร์” หรือจะเป็น แอ๊คชั่นไลฟ์จากการ์ตูนดังของค่ายดิสนีย์ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ซึ่งเรียกว่ากลายเป็นอีกหนึ่งตำนาน สานต่อความยิ่งใหญ่ของจักรวาลภาพยตร์ “สตาร์วอร์” คงไม่พ้น “The Mandalorian” ที่ทำออกมาเป็นภาพยนตร์ซีรีส์ออกฉายตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งผลตอบรับจากแฟนคลับหนังแอ๊คชั่นไซไฟนั้น ถึงขนาดยกย่องกันว่าเป็น “สตาร์วอร์ส” ที่ดีที่สุดเลยทีเดียว….
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ “แมนโด้” (รับบทโดย เพโดร ปาสคาล) ชายผู้เป็นตำนานของนักล่าค่าหัวที่เก่งที่สุดในจักรวาล สมัยเด็ก ๆ เขามีชื่อว่า “ดิน จาริน” พ่อแม่ถูก “ดรอยด์” (หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์) ฆ่าตาย เขากลายเป็นเด็กกำพร้าและถูกรับไปเลี้ยงโดยชาวแมนดาลอร์ จนเขาเติบโตขึ้นก่อนจะผันตัวเป็นนักล่าเงินรางวัล โดยกลุ่มนักรบชาวแมนดาลอร์ที่เขาสังกัดนั้นเป็นพวก “เดอะ วอทช์” ซึ่งก็คือกลุ่มที่เป็นลัทธิยึดถือแนวการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็น การไม่ถอดหน้ากากให้ใครเห็นใบหน้าที่แท้จริง ลั่นวาจาก็ต้องรักษาสัจจะ การช่วยเหลือชาวแมนดาลอร์ด้วยกัน ตามสโลแกนที่ว่า “นี่คือวิถีของเรา”
อย่างไรก็ตามชาวแมนดาลอร์ที่มาจากดาวแมนดาลอร์จริง ๆ กลับเลิกเคร่งครัดในวิถีเดิม ๆ มีการเปิดหน้ากากให้เห็นใบหน้าเหมือนชนเผ่าอื่น ๆ ในจักรวาล สำหรับชุดเกราะของชาวแมนดาลอร์ นั้นจะมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มักถูกตีขึ้นมาจากแร่เหล็ก “Beskar” แร่ที่สามารถทนต่อการทำลายล้างจากปืนเลเซอร์ และ ไลท์เซเบอร์ ทำให้มีราคาสูงมาก
ใน season 1 เป็นช่วงสมัยของกลุ่มจักรวรรดิ ถูกถล่มจนพ่ายแพ้จากฝ่ายต่อต้าน โดย ลุก-เลอา สกายวอล์กเกอร์ แต่กลุ่มจักรวรรดิก็ยังซ่องสุมกำลังอีก ซึ่งในระหว่างนี้เส้นเรื่องของ “แมนโด้” ก็ได้เกิดขึ้น เริ่มจากเขาไปรับงานจากทหารกลุ่มจักรวรรดิ ให้ไปลักพาตัวทารกน้อย “โกรกู” หรือ “เบบี้โยด้า” มาส่งให้กับทางกลุ่มเพื่อนำเด็กไปทำการทดลองบางอย่าง ตอนแรก “แมนโด้” ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเขารู้ว่าทารกน้อยต้องทรมานจากการทดลอง เขาก็เลือดขึ้นหน้า เข้าไปทำลายล้างทหารทรูเปอร์จนไม่เหลือ ก่อนจะลักพาเด็กน้อยไปทันที แน่นอนว่าการทำผิดสัญญาว่าจ้าง จะต้องถูกกลุ่มสหภาพนักล่า ตามล่าตัวไปด้วย แต่เขาก็ไม่สนใจยอมเอาชีวิตเข้าปกป้องอย่างสุดความสามารถ
ขณะที่ season 2 “แมนโด้” พยายามออกตามหาผู้รับเลี้ยงดู “โกรกู” ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเหล่านักบวช “เจได” ที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่คน หนทางที่จะหาตัวเจอนั้นยากเย็นแสนเข็ญ เพราะทางฝ่ายจักรวรรดิ ต้องการตัว “โกรกู” ไปทดลองอีก พวกมันออกไล่ล่าอย่างไม่ลดละ กระทั่งหนูน้อยโดนลักพาตัวไปจนได้ “แมนโด้” ต้องกลับไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูง เพื่อรวบรวมกำลังไปต่อสู้กับกองกำลังกลุ่มจักรวรรดิและทำลายล้างให้สิ้นซาก
จุดเด่นของ “The Mandalorian”
การทำให้บทบาทของหนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายแนวพ่อดูแลลูกระหว่างที่เดินทางผญจภัยไปด้วยกันตลอด ทำให้เกิดความรู้สึกที่อบอุ่นและมีความสนุกในตัว “โกรกู” หรือ “เบบี้โยด้า” มีความน่ารักในตัวอยู่แล้ว มีบทป่วน ๆ ในเส้นเรื่องของแต่ละตอนด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ผู้ชมเกิดความประทับมากกว่าเดิม ใครที่ไม่เคยดูสตาร์วอร์สเลย ก็ยังสามารถดูได้ เพราะเนื้อหาไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไป บทของ “แมนโด้” แม้จะดูเก่งกาจออกแนวคาวบอย มีนิสัยตรงไปตรงมา แต่สกิลความสามารถก็ไม่ได้เก่งจนดูโอเวอร์ พล็อตเรื่องยังเน้นด้านจิตวิทยา การเจรจาทั้งมิตรและศัตรู เพื่อให้เกิดไมตรีจิต ทำให้ตัวเอกของเรื่องมักจะมีเพื่อนใหม่มาร่วมต่อสู้ผจญภัยด้วยเสมอ
ในส่วนของบทดราม่า ก็ยังถูกแทรกเอาไว้แทบจะทุกตอน เช่น การที่ “แมนโด้” ไม่ชอบ “ดรอยด์”หุ่นยนต์ เพราะมีความหลังฝังใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะแก้ไขนิสัยทำงานร่วมกับ “ดรอยด์” ไม่ได้ จึงสะท้อนมุมมองความคิดที่ว่า “…ทัศนคติต่าง ๆ ของคนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการเปิดใจ วันนี้ยังไม่เห็นข้อดีของสิ่งนั้น วันหน้าอาจได้เห็นก็เป็นได้…” นอกจากนี้ เราจะได้เห็นฉากสัตว์ประหลาดแปลก ๆ ฉากความงามของดาวแต่ละดวง ปัญหาและอุปสรรคที่ไม่คาดฝัน บางช่วงบางตอนก็ดูลึกลับ ดำเนินเรื่องเร็ว จนเดาทิศทางของเรื่องไม่ออก และบางตอนก็มีเซอไพร้ส์ให้เห็นกันแบบจะจะ อีกทั้งในช่วงท้ายเครดิตของแต่ละตอน จะมีการโชว์ “คอนเซปต์อาร์ต” เป็นภาพงาม ๆ เหมือนสรุปเรื่องราวในแต่ละตอนให้ได้ชมกันหลายภาพด้วย
จุดอ่อนของ “The Mandalorian”
การให้ผู้กำกับหลายคนมาโชว์เคส ทำหนังในแต่ละตอนเชื่อมต่อกันไปมา ทำให้หนังมีอารมณ์ที่ไม่เชื่อมโยงกัน จะบอกว่าหลุด ๆ รั่ว ๆ ก็ว่าได้ เช่น ตอนนี้กำลังขี่วัวในทะเลทราย แต่จู่ ๆ ก็ต้องขึ้นยาน ไปสู้กันในอวกาศ บางที เพิ่งสู้กับสัตว์ประหลาดยักษ์ไปไม่นาน กลับต้องมาขึ้นยานอวกาศไปลักพาตัวทักโทษ โทนอารมณ์ของภาพก็แตกต่างกันไปเยอะมาก แต่ก็โชคยังดีที่บทไม่ยืดเยื้อ มีความกระชับจบในตอน มิเช่นนั้นคนดูก็จะรู้สึกไม่อิน เพาะความไม่ต่อเนื่องของตัวหนังนั่นเอง
5/5 ถือเป็นหนังทีมีเสน่ห์มาก ฉาก CG ที่ดูยิ่งใหญ่สวยงามหลายฉาก “คอนเซปต์อาร์ต” งาม ๆ เหมือนต้องการสรุปจบแต่ละตอน แถมในหนังก็ไม่มีความแรงขนาดเลือดตกยางออก เด็ก ๆ ดูได้สบาย ๆ มีแง่คิดแฝงเอาไว้มากมาย แฟนหนังสตาร์วอร์ส ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง…
***********************************************
คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน
ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก เว็บไซต์ Youtube และ Disney+