ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ คือ “ตัวตึง” ที่สุดของพรรค การเมืองแนว “อนุรักษนิยม” โดยส่วนประกอบพรรคนี้มาจากคน 2 กลุ่ม คือ พวกอนุรักษนิยมข้นคลั่ก! ที่ย้ายมาจากพรรคเก่าแก่ และพวก “อิน” พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากเคยได้รับตำแหน่งแห่งหนจาก พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถ้าเที่ยวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็คงจะแตก! บรรดา ส.ส. 36 คน (ทั้งสองระบบ) ต้องไปหารังใหม่

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.เขต 39 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2 คน พรรคนี้มีศูนย์รวมจิตใจอยู่ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในขณะที่ ส.ส. มาจากหลายก๊ก แต่เข้มแข็งที่สุด คือ ก๊กเพชรบูรณ์ ก๊กกำแพงเพชร ก๊กพะเยา ถ้าพลังประชารัฐต้องเป็นฝ่ายค้าน 4 ปี เที่ยวหน้า พล.อ.ประวิตร วางมือทางการเมืองแน่! บรรดาสมาชิกก็ต้องแตกฉานซ่านเซ็นกันไป

มาที่พรรคประชาธิปัตย์ เที่ยวนี้ได้ ส.ส.เขต 22 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2 คน โดยประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้งมาตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 44 เรื่อยมาจนถึงครั้งล่าสุด 14 พ.ค. 66 ผ่านหัวหน้าพรรคมาแล้ว 4 คน (ชวน-บัญญัติ-อภิสิทธิ์-จุรินทร์) แพ้เลือกตั้ง 6 ครั้ง บอยคอตเลือกตั้ง 2 ครั้ง อดีตสมาชิกพรรคหลายคน ไปช่วยกันขัดขวางการเลือกตั้งจนสำเร็จอีก 1 ครั้ง นี่คือผลงานของ “สถาบันการเมือง”

พรรคประชาธิปัตย์ต่อจากนี้ ต้องไปพิจารณากันเอาเอง ว่าการเลือกตั้งแต่ละครั้งถ้าใช้วาทกรรม ใช้มุกเดิม ๆ วนเวียนอยู่กับ “ทักษิณยิ่งลักษณ์” ไปหาเสียงแล้วขายได้จริงหรือเปล่า? มุกแป้ก! ประชาธิปไตยไม่โกง ไม่ทุจริตซื้อขายเสียงเลือกตั้ง คนส่วนใหญ่ในประเทศเชื่อมุกเหล่านี้ของประชาธิปัตย์หรือเปล่า?

ส่วนพรรคภูมิใจไทย ได้ ส.ส.เขต 67 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 คน หมายความว่าอะไร? หมายความว่า ชื่อพรรคยังไม่เป็นที่นิยมของตลาด สำหรับ ส.ส.เขตที่ได้มาขณะนี้ ต้องยอมรับว่ามาจากเหตุผลในหลายปัจจัย

แต่เอาเป็นว่า ทั้งหัวหน้า-เลขาฯ พรรคก้าวไกล ยืนยันชัดเจนว่า ไม่จำเป็นต้องมี “ภูมิใจไทย” มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพวกเขา เพราะเขาอาจมองว่า ถ้า “ภูมิใจไทย” เป็นฝ่ายค้าน 4 ปี เลือกตั้งครั้งหน้า จะไม่เหลือเท่าเก่า!

มาถึงพรรคใหญ่ “เพื่อไทย” จากเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” แต่ได้ ส.ส.เขต 112 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 29 คน จึงกลายเป็นพรรคอันดับ 2 เป็นบทเรียนราคาแพงของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นโจทย์ใหญ่ต่อจากนี้ คือ

1. หาคนที่เหมาะสมมาเป็นรัฐมนตรี เพื่อเร่งปั่นผลงาน โดยคาดว่าเพื่อไทยจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีไม่ต่ำกว่า 15 คน ได้คุมกระทรวงหลักหลายกระทรวง

2. จัดทัพใหม่เตรียมพร้อมเลือกตั้งในอนาคต ใครสอบตก 2 ครั้ง คงลำบาก! หรือสอบตกครั้งเดียว แต่คะแนนแพ้ขาด! หรือมาเป็นที่ 3 อาจจะเหนื่อย! ไม่เว้นแม้แต่ “คุณหนู” อาศัยใบบุญพ่อ-แม่ช่วยดัน! พรรคต้องช่วยฉุด ช่วยดึง! สมัยหน้าคงไม่ได้แล้ว! รวมทั้งการพิจารณารับนักการเมืองหน้าเก่า ๆ เข้ามาในอนาคต และ 3.ปรับกลยุทธ์หาเสียงใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง

ส่วนพรรคอันดับ 1 “ก้าวไกล” สร้างความตื่นตะลึงให้กับการเมืองไทยว่ามาได้อย่างไร? เนื่องจากเติบโตเกือบ 100% จากการเลือกตั้งปี 62 เพราะ “ทำการเมืองใหม่” ใช้ทุนน้อย ใช้สังคมออนไลน์เป็นตัวนำ เกาะติดกระแสทุกกลุ่ม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่ถูกฝ่ายรัฐกระทำช่วง 8 ปีที่ผ่านมา และสื่อสารชัดเจนตรงไปตรงมา แต่ทำได้-ไม่ได้ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

ฐานคะแนนพรรคก้าวไกล จึงเป็นคนรุ่นใหม่ที่ขยับขึ้นมามีสิทธิเลือกตั้งปีละ 7-8 แสนคน และปฏิเสธไม่ได้ คือหลายครอบครัวเลือกก้าวไกล เพราะเกรงใจลูก! บรรดา “สลิ่ม” จำนวนไม่น้อย จะไปทาง “แดง” ก็เสียฟอร์ม! จึงไป “ส้ม” ดีกว่า!

แต่ปัญหาของ “ก้าวไกล” คือมีจุดขายเกี่ยวกับนโยบายทางสังคม เมื่อเทียบกับ “เพื่อไทย” ที่มีนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นน้ำเป็นเนื้อกว่า! ในขณะที่คนไทยบอบช้ำจากปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมา 8 ปี ดังนั้นถ้าในช่วง 6 เดือน ถึง 1 ปี เศรษฐกิจยังไม่กระเตื้องขึ้น การจับจ่ายใช้สอยยังฝืด ๆ รัฐบาลพรรคก้าวไกล เตรียมรับมือกับ “แรงเหวี่ยง” แรง ๆ ได้เลย!!

————————–
พยัคฆ์น้อย