“การออกกำลังกายไม่มีคำว่าช้า หรือสายเกินไป แค่เริ่มต้นทำ ก็ไม่เรียกว่าสายไปแล้ว อย่างย่าเองก็เริ่มมาออกกำลังกายแบบจริงจังตอนอายุ 50 กว่าแล้ว จนได้สุขภาพแข็งแรงและมีหุ่นที่ดีขึ้นกว่าตอนที่ย่ายังเป็นสาวเสียอีก“ เป็นเสียงจาก “คุณย่าวัย 60 ปี” เจ้าของหุ่นเฟิร์มจนทำให้สาว ๆ หลายคนอิจฉา กับรูปร่างที่สวยด้วยมัดกล้ามสมส่วน และหน้าท้องแบนราบแบบ “Sexy Line” ที่สาว ๆ หลายคนใฝ่ฝันอยากที่จะมีหุ่นแบบนี้บ้าง ซึ่งใครจะเชื่อว่าคุณย่ารายนี้ก่อนหน้านี้เคยต้องเผชิญกับมรสุมจากโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งอาการเข่าเสื่อม แถมป่วยด้วยไทรอยด์เป็นพิษ ส่วนอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สูงอายุคนนี้ ลุกขึ้นมาฟิตหุ่นจนแข็งแรง?? วันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปรับรู้ และทำความรู้จักกับคุณย่ารายนี้…ที่ชื่อ “นิศารัตน์ เพิ่มสุข”

“นิศารัตน์” วัย 60 ปี ที่แทนตัวเองและชอบให้ใคร ๆ เรียกว่า “ย่านิ” เล่าว่า เมื่อก่อนจะมีแต่คนเรียกตนว่า “ป้านิ” แต่ไม่อยากให้ใครเรียก “ป้า” ซึ่งพอมีหลาน ก็เลยมักจะชอบเรียกแทนตัวเองว่า “ย่า” และก็ให้คนอื่น ๆ เรียกแบบนี้มาตลอด โดยย่านิ เจ้าของฉายา “คุณย่าหุ่นแซ่บ” เล่าประวัติตัวเองให้ฟังว่า เป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดและเติบโตอยู่ที่ จ.สุรินทร์ โดยมีคุณแม่คนเดียวเพียงลำพังที่เลี้ยงดูตนเองกับพี่สาวมา ซึ่งฐานะทางบ้านก็ไม่ได้มีเงินทอง ทำให้เรื่องของการเรียนนั้นเกือบจะได้เรียนเพียงแค่ ป.4 เพราะคุณแม่ไม่มีเงินที่จะส่งต่อ แต่ยังโชคดีที่คุณครูมาช่วยจ่ายค่าเทอมให้ จนได้เรียนจนจบชั้น ป.7 ซึ่งจริง ๆ แล้วนั้น ย่านิเองก็อยากเรียนต่ออีก แต่ก็ต้องทำใจ เพราะทางบ้านไม่มีเงินที่จะส่งเสียให้เรียนต่อได้

หลังเรียนจบชั้น ป.7 ก็ออกมาอยู่บ้านเลี้ยงหลาน และหางานทำไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานโรงอิฐ งานโรงทอผ้า โดยย่านิเล่าว่า ตอนนั้นทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน ซึ่งทำงานอยู่จนถึงอายุได้ประมาณ 18 ปี ก็ตัดสินใจไปขอกับคุณแม่ว่า…ขอเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ที่เข้ากรุงเทพฯ ก็เพราะอยากเรียนต่อ แต่หลอกว่าจะทำงาน ซึ่งเมื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทางพี่สาวก็ช่วยส่งเสียให้ได้เรียนต่อ ที่โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่วัดธาตุทอง ซึ่งก็ได้เรียนเทียบจนจบชั้น ม.3 จากนั้นก็ไปเรียนต่อในระดับ ปวช. ด้านเลขานุการ ที่โรงเรียนเทคนิคบริหารธุรกิจกรุงเทพ จนจบหลักสูตร

’ระหว่างที่เรียนใกล้จบ ก็มีโอกาสได้เข้าทำงานในบริษัทเกี่ยวกับออกแบบตกแต่งภายในแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่เปิดตัวใหม่ ตอนนั้นเรียกว่าเราเหมือนเป็นพนักงานคนแรกคนเดียวของบริษัท เพราะเพิ่งเปิด ซึ่งเจ้าของบริษัทก็ให้โอกาสเรา ตอนนั้นก็ทำงานทุกอย่าง ทั้งอ่านแบบ ดูแบบ และเรียนรู้จนสามารถถอดแบบได้ จนถึงขั้นสามารถทำเอกสารเสนอราคา หรือติดต่อลูกค้า กับทำบัญชี เรียกว่าทุ่มเททำงานให้บริษัทเต็มที่ ขนาดจะลาป่วยก็ยังคิดแล้วคิดอีก ซึ่งเวลาเข้างาน 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น แต่เราก็อยู่ทำงานจนถึง 6 โมงเย็น 1 ทุ่มตลอด“ ย่านิบอกเรื่องนี้

พร้อมเล่าต่อว่า แต่จากการโหมทำงานทุ่มเทกับงานจนละเลยการดูแลสุขภาพของตัวเอง ในที่สุดก็เริ่มส่งผลต่อร่างกายขึ้นเรื่อย ๆ โดยย่านิบอกว่า ตอนนั้นทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานติดต่อกันเป็นเวลา 20 กว่าปี จนรู้สึกว่าตัวเองนั้นเริ่มไม่ไหวแล้ว โดยอาการร่างกายเริ่มจากหัวเข่าเสื่อม เดินเหินลำบาก ทำให้จากที่เป็นคนชอบใส่รองเท้าส้นสูง ก็ใส่ไม่ได้แล้ว จนต้องเปลี่ยนตัวเองมาใส่รองเท้าผ้าใบ หรือบางทีจะเดินขึ้นสะพานลอยก็ไม่ไหว ทั้งที่ตอนนั้นอายุแค่ประมาณ 49-50 ปี

’ที่สุดก็ฝืนไม่ไหว จึงตัดสินใจลาออกจากงาน ยอมเกษียณตัวเองก่อนเวลา เพราะปัญหาสุขภาพ ซึ่งเจ้านายก็ดีมาก เพราะเราออกมา เขาก็ยังให้เงินเดือนเราทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท จนทุกวันนี้ก็นาน 10 กว่าปีแล้ว เราก็ยังได้เงินเดือนอยู่“ ย่านิกล่าวชื่นชมที่ทำงานเก่าด้วยแววตาเป็นประกาย

กับ “ปู่เก๋-อุรัช ปิ่นทอง” สามี

ทั้งนี้ “คุณย่าหุ่นแซ่บ” เล่าอีกว่า หลังจากออกจากงานมา ก็เข้ารับการรักษาโรคเข่าเสื่อมอยู่ประมาณ 2-3 ปี มีการฉีดยาเข้าหัวเข่า แต่ฉีดไปได้ 2 เข็มแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น และหมอก็ห้ามฉีดเกิน 3 ครั้ง ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากฉีดยาอีกแล้ว คุณหมอจึงให้กินยาและแนะนำให้ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน ที่ถือว่าเป็นการเสริมสร้างร่างกายและเป็นการบำบัดอาการไปด้วยในตัว โดยย่านิเล่าเรื่องนี้ว่า เริ่มจากการปั่นจักรยาน 3 ล้อ เพราะขี่จักรยานไม่เป็น แต่ก็ได้ สามี คือ“ปู่เก๋-อุรัช ปิ่นทอง”ที่แต่งงานกันมา 27 ปี ช่วยฝึกสอนให้ เพราะสามีเป็นคนที่ชอบการปั่นจักรยานอยู่แล้ว

’ตอนที่ฝึกปั่นจักรยาน 3 ล้อครั้งแรก ยังไม่กล้าปั่นไปไกล ๆ ตอนนั้นจำได้เลยว่า เหงื่อออกเต็มมือเลย เพราะกลัวล้ม แต่ก็พยายามฝึกจนชำนาญ จากนั้นก็ขยับมาปั่นจักรยาน 2 ล้อได้ และพยายามปั่นจักรยานออกกำลังกายทุกวัน จนอาการหัวเข่าเสื่อมดีขึ้น แต่ถึงแม้เข่าเสื่อมจะดีขึ้น แต่อาการเหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง ยังไม่หาย แค่ยกช้อนกินข้าวยังไม่มีแรง แถมน้ำหนักตัวก็ขึ้นแบบไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่เป็นคนกินน้อย ซึ่งตอนนั้นจากน้ำหนัก 46 กิโลกรัม ก็เพิ่มขึ้นจนมีน้ำหนักตัวเกือบ 60 กิโลกรัม ซึ่งก็ได้เจ้านายพาไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพและค้นหาสาเหตุ พอตรวจก็ปกติหมด แต่พอคุณหมอบอกให้ไปลองเดินบนลู่วิ่งสายพาน สัก 5 นาที ปรากฏว่าขาสั่น มือสั่น เดินไม่ถึง 5 นาที ก็รู้สึกเหนื่อยมาก หมอจึงแนะนำให้ตรวจไทรอยด์เพิ่ม จนพบว่าป่วยเป็นไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งตอนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ เราอายุ 52 ปี“

ย่านิเล่าถึงโรคนี้ว่า ตอนนั้นต้องใช้เวลารักษาตัวจากไทรอยด์เป็นพิษอยู่นานประมาณ 2-3 ปี โดยทำตามคำแนะนำของหมอ พยายามกินยารักษาและพยายามดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย กับพักผ่อนให้เพียงพอ จนร่างกายดีขึ้น หมอจึงหยุดจ่ายยาให้ โดยคุณย่าบอกเล่าว่า มีคนเคยบอกว่าป่วยเป็นไทรอยด์ต้องกินยาตลอดชีวิต แต่เพราะตัวเองไม่อยากเป็นแบนนั้น จึงพยายามดูแลฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรง ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด ซึ่งเมื่อหมอสั่งหยุดยาที่กินรักษา ทำให้รู้สึกดีใจมาก และนอกจากประโยชน์ทางตรงอย่างการทำให้หายป่วยจากไทรอยด์แล้ว ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นตามมาจากการที่พยายามออกกำลังกายและดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดนั้นก็คือการได้รูปร่างที่ฟิตและเฟิร์ม

’ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยที่ออกกำลังกาย คืออยากลดน้ำหนักของตัวเองที่ขึ้นมาให้ลงมาเหลือเท่าเดิม“ ย่านิเผยเรื่องนี้ พร้อมเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเข้าฟิตเนสเป็นประจำทุกวัน พร้อมทั้งปั่นจักรยานวันละ 4-5 กิโลเมตร โดยทำอยู่ประมาณ 2 ปี จนในช่วงที่มีโควิด-19 ระบาดนั้น ก็เริ่มออกกำลังกายที่บ้านแทนการไปฟิตเนส ด้วยการไปซื้อฮูลาฮูปและลูกกลิ้งมาเล่น

’ตอนที่เราเล่นลูกกลิ้งช่วงแรก ๆ ตอนนั้นท้องระบมไปหมด (หัวเราะ) แต่เล่นได้ 2 เดือน น้ำหนักก็ลดลง เราก็เลยเล่นมาเรื่อย ๆ จนหน้าท้องเริ่มขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนเริ่มสังเกตเห็นหน้าท้องแปลก ๆ ขึ้น ก็ต้องบอกว่าไม่เคยรู้จักกับคำว่าร่อง 11 หรือ Sexy Line เลย ก็เลยไปถามแฟน เขาก็บอกว่าเป็นร่อง 11 เป็นแนวเส้นกล้ามเนื้อที่สาว ๆ หลายคนอยากมีกัน พอสามีบอกแบบนี้ เราก็ดีใจที่เราทำได้ขนาดนี้ เพราะตอนนั้นอายุปาเข้าไป 54-55 ปีแล้ว“ ย่านิกล่าว พร้อมบอกถึงเคล็ดลับหุ่น
แซ่บอีกว่า นอกจากเรื่องของการมีวินัยในการออกกำลังกายแล้ว เรื่องของอาหารการกินก็สำคัญ โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะดื่มน้ำผักทุกวัน กับดื่มน้ำเยอะ ๆ 

’ถามว่าเรากินอาหารอย่างอื่นด้วยไหม ก็กิน แต่เราไม่ได้คลีนร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่รู้จักเลือกกินที่มีประโยชน์ นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอ“ ย่านิบอกถึง เคล็ดลับที่ดูธรรมดา” ที่กลับให้ “ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา”

หลังจากที่ “ย่านิ” มีหุ่นที่ดีจากการออกกำลังกาย ก็ได้ถ่ายรูปร่างไปลงโชว์ในกลุ่มออกกำลังกาย ส่งผลทำให้มีหลายคนเริ่มสนใจออกกำลังกายด้วยลูกกลิ้งมากขึ้น โดยเจ้าตัวบอกว่า มีหลายคนเข้ามาถามหาซื้ออุปกรณ์นี้กับเรามากขึ้น เราก็เลยลองหาอุปกรณ์ที่มีราคาไม่แพงมาทำขาย เพื่อให้คนที่สนใจได้ซื้อไปใช้ออกกำลังกายในราคาที่ไม่แพง เพื่อที่เขาจะได้มีไว้ออกกำลังกาย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดี โดย 10 ชิ้นแรกที่ทำออกมา ก็ขายได้หมดเลย ทำให้ดีใจที่มีคนสนใจการออกกำลังกายแบบเดียวกัน และก็ได้กลายเป็น “ที่มา” ของชื่อเฟซบุ๊กเพจ “ลูกกลิ้งคุณย่า” โดยได้มีการจัดทำคลิปสอนวิธีการเล่นลูกกลิ้งนี้ไว้ด้วย

พรีเซ็นเตอร์เครื่องออกกำลังกาย

นอกจากการออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ตอนนี้ “คุณย่าหุ่นแซ่บ” ยังหันมาสนใจกีฬาอีกชนิดหนึ่งคือ “วิ่ง” โดยย่านิเล่าว่า เริ่มวิ่งมาได้ประมาณ 4 เดือนกว่าแล้ว ซึ่งล่าสุดย่านิก็ได้ไปลงแข่งขันวิ่งใน รายการ Bikini Run Chanthaburi  ซึ่งเป็นการลงรายการ “วิ่งบิกินีรันเป็นครั้งแรกในชีวิต” โดยได้เผยความรู้สึกในการเข้าร่วมวิ่งรายการนี้ว่า ’จากคนที่ไม่เคยใส่ชุดว่ายน้ำมาเกือบทั้งชีวิต เพราะเราไม่ใช่คนหุ่นดี ชุดไปทะเลคือเสื้อยืดแขนยาว กางเกง จนเราออกกำลังกายมีหุ่นดี ก็มีใส่เสื้อกล้ามอยู่บ้าง แต่ไม่มีความคิดในหัวมาก่อนเลยที่จะใส่ชุดว่ายน้ำหรือบิกินี จนกระทั่งมีเพื่อนจากเยอรมันซื้อชุดว่ายน้ำมาให้ และพากันไปเที่ยวพัทยา เขาก็ให้เราลองใส่ ซึ่งแฟนของเราเองเขาก็ไม่อยากให้ใส่ เพราะมองว่ามันโป๊ไป แต่เพื่อนก็บอกว่าต้องใส่ เพราะเราขายอุปกรณ์ออกกำลังกาย ต้องโชว์ให้คนอื่นเห็นหุ่นว่าเราเล่นจริง ได้หุ่นดีจริง แฟนเราจึงยอมให้ใส่ แต่จริง ๆ เขาก็ยังไม่ค่อยชอบให้เราใส่บิกินีหรอก” ย่านิกล่าว พร้อมเล่าถึงการวิ่งบิกินีรันครั้งแรกในชีวิตให้ฟังว่า สาเหตุที่ตัดสินใจร่วมรายการนี้เป็นครั้งแรก เพราะมีเพื่อนที่เป็นสายวิ่งมาชวนให้ไปลงวิ่งในรายการนี้ที่ จ.จันทบุรี ซึ่งสามีของคุณย่าก็บอกว่าจะไปใส่บิกินีวิ่งจริงหรือ แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย ก็ยอมให้ไป ซึ่งกลายเป็นว่าพอไปวิ่งจริง ๆ สามีก็ยิ้มหน้าบาน และส่งรูปเธอไปอวดให้เพื่อน ๆ ดูด้วย หลังจากนั้นเวลาไปทะเลทุกครั้งก็ต้องบิกินีเท่านั้น เสื้อแขนยาว กางเกง หรือผ้าถุง สามีบอกไม่เอาแล้ว …ย่านิเล่าเรื่องนี้อย่างอารมณ์ดี และบอกว่า…

’การใส่ชุดว่ายน้ำ หรือลงวิ่งบิกินีรันในวัย 60 สำหรับย่า ไม่ใช่อยากโชว์ความเซ็กซี่ หรือแข่งกับใคร แต่เป็นการแข่งกับตัวเอง และอยากเป็นแรงบันดาลใจทำให้คนที่อายุน้อยกว่าเราหันมาสนใจและใส่ใจสุขภาพ โดยย่าอยากทำให้เห็นว่า ขนาดคนรุ่นย่ายังทำได้ ดังนั้นคุณก็สามารถทำได้เหมือนกัน“ ย่านิเผยเบื้องหลังความตั้งใจที่ออกมาโชว์หุ่น

ก่อนจบการสนทนา “ย่านิ-นิศารัตน์ เพิ่มสุข” เจ้าของฉายา “คุณย่าหุ่นแซ่บ” ทิ้งท้ายกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า… ตั้งใจจะออกกำลังกายและฟิตหุ่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่ไหวจริง ๆ จึงจะหยุด ที่สำคัญย่านิเชื่อว่า… ’สุขภาพดี-รูปร่างที่ดีนั้น…

ถ้าตั้งใจ…ใคร ๆ ก็ทำได้“.

ก่อนจะมาเป็นคุณย่าหุ่นแซ่บ

‘อย่าผัดวันประกันพรุ่ง’

“ย่านิ-นิศารัตน์” เจ้าของฉายา “คุณย่าหุ่นแซ่บ” ย้ำว่า อยากฝากถึงคนหนุ่มสาวว่าควรเริ่มต้นดูแลสุขภาพและออกกำลังกายตั้งแต่ตอนที่ยังมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ จะได้ลดความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะวัยนี้เป็นวัยที่ทั้งทำงานหนัก ทั้งพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นทำงานแล้วก็ต้องไม่ลืมดูแลตัวเอง อย่าปล่อยเวลาผ่านไปเปล่า ๆ ซึ่งถ้ายังไม่เคยออกกำลังกาย ให้ลองหันมาออกกำลังกายบ้าง แม้จะทำวันละเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย และอย่าปล่อยให้ร่างกายไปถึงจุดเสื่อมโทรม จะช้าเกินไป

’ออกกำลังกายตอนที่มีแรง ดีกว่าเจอโรคแล้วค่อยมาทำ ไม่ต้องคิดว่าทำเพื่อใคร ให้คิดว่าทำเพื่อตัวเอง ที่สำคัญอย่าผัดวันประกันพรุ่ง อย่าบอกว่าไม่มีเวลา“ ย่านิย้ำเรื่องสำคัญ.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
สันติ มฤธนนท์ : ภาพ