เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคตในวันที่ 9 ก.ย. 2565 พระราชโอรสองค์โตในพระองค์ คือผู้รับสืบทอดพระราชมรดก มูลค่าประมาณ 360 ล้านปอนด์ (ประมาณ 15,330 ล้านบาท) ทำให้สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ซึ่งเสด็จเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันนี้ (6 พ.ค. 2566) ทรงร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม

นิตยสารไทม์ส เคยประเมินว่า ก่อนรับพระราชมรดกจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นั้น พระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงมีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ราว 600 ล้านปอนด์ (ประมาณ 25,548 ล้านบาท) 

การที่พระองค์ทรงมีพระราชทรัพย์จำนวนมหาศาลในสายตาประชาชนคนธรรมดานั้น ไม่ได้เป็นเพียงการรับสืบทอดสมบัติจากราชวงศ์ หากมาจากการที่ทรงสนพระทัยในการลงทุนอย่างจริงจัง หลังจากที่ทรงจ่ายเงินไปร่วม 17 ล้านปอนด์ (ราว 723.8 ล้านบาท) ในระหว่างที่ทรงหย่าขาดจากเจ้าหญิงไดอานา เมื่อปี ค.ศ. 1996 

เมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1952 นั้น พระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงมีรายได้ส่วนพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นดยุคแห่งคอร์นวอลล์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เพื่อหารายได้สำหรับผู้ที่เป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ 

แต่ไหนแต่ไร เทศมณฑลคอร์นวอลล์นี้ เป็นสถานที่ทรงโปรดของพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ตามคำประทานสัมภาษณ์ของสมเด็จพระราชินีคามิลลา เมื่อราว 4 ปีก่อน

ในพื้นที่ของคอร์นวอลล์ ซึ่งกว้างขวางถึง 52,450 เฮคเตอร์ ประกอบด้วยฟาร์มต่าง ๆ ถึง 260 แห่ง, ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ปล่อยให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกจำนวนมาก ซึ่งมีมูลค่าราว 345 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 14,690 ล้านบาท

ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าชายแห่งเวลส์ และดยุคแห่งคอร์นวอลล์พระองค์ก่อน เทศมณฑลคอร์นวอลล์สั่งสมทรัพย์สินมูลค่าได้มากกว่า 1,000 ล้านปอนด์ (ราว 42,580 ล้านบาท) และมอบรายได้แก่ดยุคแห่งคอร์นวอลล์ราว 23 ล้านปอนด์ (979.3 ล้านบาท) ต่อปี ซึ่งประเมินกันว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาราว 40%

ตามกฎหมายของอังกฤษระบุว่า ราชวงศ์อังกฤษไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีมรดกเมื่อได้รับสืบทอดพระราชมรดก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแบ่งแยกพระราชสมบัติส่วนที่เป็นที่ดิน

นอกจากนี้ พินัยกรรมของเชื้อพระวงศ์ จะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน เท่ากับว่าเนื้อหาของพระราชพินัยกรรมของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จะยังคงเป็นเรื่องส่วนพระองค์ที่คนนอกไม่มีสิทธิรับรู้

อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่า พระตำหนักบัลมอรัลในสกอตแลนด์ และตำนักซานดริงแฮมทางตะวันออกของอังกฤษ คือพระราชมรดกตกทอดสู่พระเจ้าชาลส์ที่ 3 และถือเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ขณะที่พระราชวังบักกิงแฮมและพระราชวังวินด์เซอร์ ถือเป็นทรัพย์สินของรัฐ เช่นเดียวกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักร แม้จะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อังกฤษ 

และในฐานะที่ทรงเป็นกษัตริย์ พระเจ้าชาลส์ที่ 3 ก็จะทรงได้รับเบี้ยหวัดส่วนพระองค์หรือเงินปีส่วนพระมหากษัตริย์ โดยจำนวนที่จะทรงได้รับนั้น คิดเป็น 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมดของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในแต่ละปี ซึ่งจากข้อมูลเมื่อปี ค.ศ. 2021-2022 สำนักงานทรัพย์สินฯ มีรายได้ราว 86,300 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3.67 ล้านล้านบาท 

ส่วนมูลค่าทรัพย์สินจากที่ดินชุดสุดท้ายมาจากเทศมณฆลแลงคาสเตอร์ ซึ่งราชวงศ์อังกฤษเป็นผู้ดูแลและสร้างรายได้จำนวน 24 ล้านปอนด์ (1,021 ล้านบาท) ในปีที่แล้ว ถวายสมเด็จพระราชินีนาถผู้ล่วงลับ

แม้ว่าจะมีข้อมูลระบุว่า ที่ดินส่วนนี้มีรัฐเป็นผู้ดูแล แต่รายได้ยังคงส่งตรงให้ราชวงศ์ 

นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น รถยนต์พระที่นั่ง ซึ่งแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่ก็สงวนไว้ให้เชื้อพระวงศ์ใช้งานเท่านั้น เช่นเดียวกับทรัพย์สินอื่น ๆ ในรูปของผลงานศิลปะและเครื่องประดับมีค่าต่าง ๆ 

ทั้งหมดนั้น รวมกันแล้ว ทำให้สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงมีพระราชทรัพย์ในครอบครองร่วม 1,800 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 76,645 ล้านบาท.

เครดิตภาพ : AFP