สำหรับคนที่เป็นคอซีรี่ส์แนวสืบสวนสอบสวนอย่าง CSI ซึ่งย่อมาจาก Crime Scene Investigation นั้น คงคุ้นเคยกันดีกับการติดตามเอาผิดของเหล่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน และหลายครั้งที่รู้สึกว่าการค้นหาหลักฐานเพื่อเอาผิดอาชญากรในคดีบนหน้าจอออกจะ “เหลือเชื่อ” ไปหน่อย กระนั้น ซีรี่ส์ก็ยังคงอ้างอิงหลักการทำงานทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก 

แต่ในความเป็นจริงตามรายงานของคดีต่าง ๆ ในสหรัฐนั้น มีคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริง และเจ้าหน้าที่สามารถเอาผิดคนร้ายได้จากหลักฐานและเบาะแสที่แทบจะไม่น่าเชื่ออย่าง “ความฝัน” และภาพนิมิตจาก “ร่างทรง” มาลองติดตามกันดูว่ามีกรณีใดบ้าง

ย้อนกลับไปไกลถึงในปี 2371 คุณนายมาร์เทน เริ่มฝันแปลก ๆ ว่า มาเรีย ลูกเลี้ยงสาวของเธอโดนคนร้ายฆ่าตายและศพถูกฝังไว้ในโรงนาสีแดงแห่งหนึ่ง ตอนนั้น มาเรีย แอบหนีตามชายหนุ่มที่ชื่อว่า วิลเลียม ไป ซึ่งในคืนที่เธอแอบหนีไปนั้น เธอมุ่งหน้าไปยังโรงนาสีแดงซึ่งเป็นจุดสังเกตในหมู่บ้านพอลสเตด มณฑลซัฟโฟล์คแห่งอังกฤษ เพื่อสมทบกับคนรัก

เวลาผ่านไปเกือบปี มาเรีย ไม่ส่งข่าวมาเลย ผิดกับ วิลเลียม คนรักของเธอที่ยังคงติดต่อกลับมายังครอบครัวและมีข้ออ้างต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับการที่ มาเรีย ไม่ยอมติดต่อมาเอง ในที่สุด คุณนายมาร์เทนที่ทนกังวลไม่ไหวก็บอกสามีเกี่ยวกับความฝันประหลาดของเธอ

หลังจากนั้นระยะหนึ่ง สามีของคุณนายมาร์เทนและเพื่อนอีกคนก็เดินทางไปยังโรงนาสีแดงตามคำขอของภรรยา ขณะที่พวกเขาลองค้นดูรอบ ๆ สถานที่ก็พบกับพื้นกระดานที่ดูหลวมผิดปกติ เมื่อลองงัดเปิดออกดูก็พบศพที่ห่อไว้ในกระสอบพร้อมกับเศษผ้าที่ดูคล้ายผ้าเช็ดหน้าสีเขียวผืนหนึ่ง ซึ่งหลังจากการสอบถามคุณนายมาร์เทน ก็พบว่านั่นคือชิ้นส่วนของผ้าพันคอของ มาเรีย

วิลเลียม คนรักของ มาเรีย โดนจับกุมในข้อหาฆาตกรรม เขาเป็นคนใช้ปืนยิงเธอจนเสียชีวิต แต่ระหว่างการสอบสวน เขากลับยืนยันว่าไม่รู้จักเธอ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการตัดสินว่ามีความผิดจริงและรับโทษประหารด้วยการแขวนคอ

ในปี 2523 เอ็ตตา หลุยส์ สมิธ เกิดเห็น “นิมิต” เป็นภาพร่างของ เมลานี ยูริเบ ซึ่งเป็นนางพยาบาลที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ว่าอยู่ในเขตโลเปซแคนยอน แคลิฟอร์เนีย สมิธ ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็น “คนทรง” หรือมีพลังพิเศษแบบ “สายมู” แต่หลังจากที่เธอได้ยินข่าวเกี่ยวกับ ยูริเบ เธอกลับเชื่อมั่นอย่างประหลาดว่าตัวเองมีข้อมูลสำคัญที่จะช่วยไขคดีได้

สมิธ แจ้งเบาะแสที่เธอรับรู้แก่ตำรวจ ซึ่งก็ไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่ ดังนั้น เธอจึงออกไปตามหา ยูริเบ พร้อมกับสมาชิกในครอบครัว ตามร่องรอยที่เธอเห็นจากในนิมิต และพบศพของนางพยาบาลสาวในที่สุด 

หลังจากที่ สมิธ พาตำรวจไปยังจุดที่พบศพ เธอก็โดนกักตัวเพื่อสอบปากคำนับสิบชั่วโมง จากนั้นก็โดนจับกุมว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมยูริเบ แต่ต่อมาภายหลังก็มีการจับกุมกลุ่มคนร้ายตัวจริงได้ซึ่งเป็นกลุ่มชาย 3 คน สมิธ จึงได้รับการปล่อยตัวและเธอก็ฟ้องกลับฝ่ายทางการเกี่ยวกับการจับกุมที่ผิดพลาดและเป็นฝ่ายชนะคดีในตอนท้าย

อีกกรณีหนึ่งเป็นคดีของ เทเรซิตา บาซา นักบำบัดระบบหายใจเชื้อสายฟิลิปินส์ ผู้ถูกฆ่าตายในอพาร์ตเมนต์ของเธอเองในปี 2520 ตำรวจไม่สามารถหาเบาะแสหรือหาตัวคนร้ายได้ จนกระทั่งศัลยแพทย์นายหนึ่งชื่อว่า โฮเซ ซี. ชัว จูเนียร์ อ้างว่า ระหว่างที่ภรรยาของเขา “เข้าฌาน” เธอพูดออกมาเป็นภาษาตากาล็อกด้วยสำเนียงสเปนที่ฟังดูประหลาดมาก ๆ พร้อมทั้งอ้างตัวว่าเธอคือ บาซา และบอกด้วยว่าชายที่ชื่อ อัลลัน ชาเวอรี เป็นคนฆ่าเธอ

ภรรยาของ ชัว เคยทำงานกับ บาซา และ ชาเวอรี ในโรงพยาบาลเอดจ์วอเตอร์ในชิคาโก พวกเขารู้จักกัน นักสืบของคดีนี้ตัดสินใจลองสืบตามเบาะแสที่ ชัว ให้มา และพบหลักฐานชี้ว่า ชาเวอรี เป็นคนสังหาร บาซา เพื่อขโมยทรัพย์สินและเครื่องประดับ ซึ่งเขานำไปซ่อนไว้ในอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง

อีกหนึ่งกรณีเหลือเชื่อของกรณีของ ลอรี คาบอต ผู้บอกว่าตัวเองคือคนทรงและ “แม่มด” จากเมืองซาเลม แมสซาชูเซตต์ มีส่วนช่วยเหลือการสืบคดีฆาตกรรม มาร์ธา เบรลส์ฟอร์ด ในปี 2534 

เบรลส์ฟอร์ด หายตัวไปโดยมีข้อมูลว่าครั้งสุดท้ายที่คนพบเห็นเธอนั้น เธอออกไปแล่นเรือกับเพื่อนบ้านชื่อว่า ทอม หรือ โทมัส มายโมนี ผู้ให้การกลับไปกลับมาตลอดเวลาที่โดนสอบปากคำ ตั้งแต่อ้างว่าไม่เคยเจอเธอเลยในวันที่เธอหายตัวไป จนกระทั่งยอมรับว่าออกไปแล่นเรือกับเธอจริง แต่คลื่นทะเลซัดจนเธอตกจากเรือ ทำให้เขาตกใจจนไม่กล้าบอกใคร

ร.ต.อ. พอล เมอร์ฟี ผู้สืบคดีในตอนนั้นได้มา “ขอความช่วยเหลือ” จาก คาบอต ซึ่งหลังจากที่เธอนั่งสมาธิเข้าฌาน เธอก็บรรยายภาพของ เบรลส์ฟอร์ด และ มายโมนี ขณะอยู่บนเรือ โดยที่ฝ่ายชายพยายามจะลวนลามฝ่ายหญิง 

เบรลส์ฟอร์ด ปฏิเสธ ไม่ยินยอมทำตามความต้องการของ มายโมนี ซึ่งทำให้เขาโกรธมากและลงไม้ลงมือกับเธอ เขาใช้วัตถุบางอย่างในเรือตีที่หลังและศีรษะของเธอ จากนั้นก็นำสมอเรืออันเล็กมาผูกที่ข้อเท้าของเธอเพื่อถ่วงน้ำหนักและโยนร่างของหญิงสาวลงทะเลไป

คาบอต ระบุว่า ร่างของ เบรลส์ฟอร์ด ยังคงอยู่ในทะเลบริเวณที่ใกล้กับเกาะแห่งหนึ่งซึ่งมีประภาคารตั้งอยู่

หลายชั่วโมงหลังจากที่ คาบอต “ให้ข้อมูล” ชาวประมงตกกุ้งลอบเสตอร์ก็พบศพของ เบรลส์ฟอร์ด ในจุดที่เป็นไปตามคำบรรยายของ คาบอต 

หลังจากผ่านกระบวนการชันสูตรศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ก็พบว่า เบรลส์ฟอร์ด ตายเพราะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะซึ่งเกิดจากการกระแทกอย่างแรงด้วยวัตถุไม่มีคม คลี่คลายคดีฆาตกรรมและเอาผิดคนร้ายได้สำเร็จ.

แหล่งข้อมูล : buzzfeed.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES