มีเสียงเรียกร้องให้เลือกตั้ง ส.ส.เขต ระหว่าง พรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล ใช้การ “เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์” เช่น พื้นที่ กทม.ที่มี ส.ส. ถึง 33 ที่เบียดกันนับสิบเขต หากฝ่ายเสรีสู้และตัดคะแนนกันเอง ฝ่ายอนุรักษ์จะเป็น “ตาอยู่” หยิบพุงปลาไปกิน พูดได้ คิดได้ แต่ยากส์…เหมือนให้นักวิ่งลงแข่ง 100 เมตร แล้วบอก เฮ้ย ออมแรงไว้นะ อย่าปล่อยพลังไปเข้าเส้นชัย

ไม่มีใครอยากเป็น “ไอ้ขี้แพ้” หรอก โดยเฉพาะการเมือง “ทุกครั้งที่แพ้เลือกตั้ง อายุการเมืองจะสั้นไป 10 ปี” (อ.คาร์ล ยุน คิงเมกเกอร์ชั่วร้ายแห่งซีรีส์เกาหลีสุดดัง Queen’s Maker ที่ฉายใน Netflix ตอนนี้ว่าไว้ ทั้งเชือดเฉือน เอาชนะกันทุกกลยุทธ์ สกปรก โสมม ตอแหล จัดฉาก สร้างภาพ แม้แต่ฆ่าปิดปาก เพื่อเก้าอี้นายกเทศมนตรีกรุงโซล เพราะ มาจุงซ็อก อดีตสามี ฮวังโดฮี ควีนเมกเกอร์ตัวเอกของเรื่อง บอกความจริงของโลกว่า ผู้ชนะเท่านั้น คือ ผู้ผดุงความยุติธรรม ซีรีส์เรื่องนี้นับว่ามาถูกที่ถูกเวลามาก ไม่เป็นนักการเมืองก็ต้องดู ยิ่งเป็นนักการเมืองยิ่งไม่ควรพลาด สนุกจนต้องดูรวดเดียวจบ เพราะมีแค่ 11 ตอน)

กลับมาที่การเลือกตั้ง อย่างที่รู้ พรรคก้าวไกล มีฐานมาจาก พรรคอนาคตใหม่ เลือกตั้งปี 62 พรรคน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์มี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไพร่หมื่นล้าน เป็นหัวหน้าพรรค ได้ ส.ส.ถึง 83 คน กลายเป็นพรรคอันดับ 3 รองจาก เพื่อไทย และ พลังประชารัฐ ปัจจัยหนึ่งเพราะอานิสงส์จากระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ และอีกปัจจัย พรรคเพื่อไทยเล่นเกมเสี่ยง แตกแบงก์พัน มี พรรคไทยรักษาชาติ รองรับ แต่ถูกยุบพรรคก่อนเลือกตั้ง คะแนนเสียงจากเขตที่ไทยรักษาชาติถูกยุบ จึง “ไหลเท” ไปที่พรรคอนาคตใหม่

ฝ่ายอนุรักษ์กลัวขนหัวลุกกับแนวทางปฏิรูปกองทัพและประเทศแบบก้าวหน้าของพรรคนี้ จนหา “ช่องโหว่” จากการถือหุ้นสื่อและการบริจาคเงินเข้าพรรคของธนาธร มาเป็นเหตุ “ยุบพรรคและตัดสิทธิ กรรมการบริหาร 10 ปี” จาก ส.ส. 83 คน เหลือ 55 คน กลายเป็น พรรคก้าวไกล ที่มี ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าใหม่ และถูกฤทธิ์ “งูเห่า”จนเหลือ ส.ส. 33 คน เป็นพรรคฝ่ายค้านคุณภาพ อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้าย มีผลงานสุดประทับใจ จากการเปิดโปงกรณีซุกหุ้นและมีผลประโยชน์ทับซ้อนในบริษัทก่อสร้างของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จนถูกศาล รธน.สั่งพักงานเก้าอี้ รมว.คมนาคม จนถึงตอนนี้

แต่นั่นล่ะ ผลงานในสภาจะเจ๋งแค่ไหน แต่อย่างที่ จม.น้อยฉบับที่ 9 ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สะท้อนภาพไว้ได้ชัด ตอนหนึ่ง ว่า…การเมืองไทย ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ระหว่างอำนาจของนักการเมืองจากการเลือกตั้ง และอำนาจที่ซ่อนอยู่ในกลไกตาม รธน. อำนาจไหนมีอิทธิพลมากกว่ากัน…นั่นสิ

ไม่ว่าจะพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน พรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะ ธนาธร ช่อ พรรณิกา หรือ ปิยบุตร แสงกนกกุล เอาเข้าจริง ล้วน “เป็นเหยื่อ” อำนาจที่ซ่อนอยู่กลไก รธน.ทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ สาธุชนย่อมรู้แก่ใจ

ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ อ้อนชาวเชียงใหม่ อย่าทิ้งกัน พร้อมใช้ความรู้พัฒนาบ้านเกิด

ขณะการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ที่ว่านั้น เอาเข้าจริง เรียกร้องต่อพรรคก้าวไกลให้หลีกทางมากกว่า ด้วยเหตุผล พรรคเพื่อไทยมีโอกาส “แลนด์สไลด์” แน่ หากพรรคก้าวไกลไม่มาตัดคะแนน บรรดานายแบก-นางแบก ทั้ง 2 ค่าย จึงเกิดวิวาทะโจมตีกันรุนแรงในโซเชียล ราวกับจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ทั้งที่อยู่ใน “ชะตากรรมเดียวกัน” นั่นล่ะ

เลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ พรรคใหญ่ได้เปรียบ 400 ส.ส.เขต เพื่อไทยมีโอกาสได้เก้าอี้มากกว่าแน่ เพราะอยู่ในพื้นที่มานาน ผลงานเป็นที่ประจักษ์ มี “บ้านใหญ่” มาสมทบ คนสุดเบื่อหน่าย รัฐบาล 3 ป. จากสารพัดโพล โอกาส แลนด์สไลด์ เป็นรัฐบาลจึงไม่ไกลเกินฝัน ที่สำคัญหากเป็นฝ่ายค้านอีกรอบ อนาคตพรรคเพื่อไทยอาจแตกดับ กลายเป็นพรรคขนาดเล็ก เหนืออื่นใด เป็นพรรคใหญ่ได้รับเสียงถล่มทลายตั้งรัฐบาล ถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่กลับ “รักษาอำนาจ” ไว้ไม่ได้เลย เพราะเอาแต่ สู้ไปกราบไป จริงหรือไม่

นี่จะเป็นบทพิสูจน์ครั้งใหญ่อีกครั้ง?!?

ขณะพรรคก้าวไกล บัตร 2 ใบ เสียเปรียบในฐานะพรรคเกิดใหม่ ส.ส.เขตยังสร้างไม่ทัน เลือกตั้งหนนี้จึงต้องพิสูจน์ตัวเองว่ามีฐานเสียงขนาดไหน6.3 ล้านเสียงที่ได้มาปี 62 เพราะ “ส้มหล่น” จริงหรือไม่” เลือกตั้งปี 66 จะยังรักษา 6.3 ล้านเสียงไว้ได้มั้ย นี่เป็นเดิมพันใหญ่ของพรรคก้าวไกล ว่าจะเดินหน้าต่อไปยังไง

เพราะต่างคนต่างมีเดิมพันสูง การต่อสู้จึงย่อมไม่มีใครยอมใคร การเลือก “เชิงยุทธศาสตร์” จึงเกิดไม่ได้

——————
ดาวประกายพรึก