ค่าไฟแพง!! กำลังกลายเป็นเรื่องราวที่ทำร้ายจิตใจคนไทยในเวลานี้ไม่น้อยทีเดียว ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าหากเปิดแอร์ ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างไม่ประหยัด ก็ต้องก้มหน้ายอมรับบิลค่าไฟมหาโหด

แต่ถามว่า? ก็ในเมื่ออากาศมันร้อนแสนร้อน!! จะไม่ให้เปิดแอร์ เปิดพัดลม เปิดตู้เย็น กินน้ำเย็น ๆ ดับความร้อนกันเลยหรือ!! มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะยอมร้อน ในสภาพอากาศที่พุ่งทะลุเกิน 40 องศาฯ 50 องศาฯ

Free photo business woman stressed while using laptop sits on the steps. business people concept.

ต่อให้ภาครัฐออกมาให้คำแนะนำให้ช่วยกันประหยัดการใช้ไฟฟ้าก็ตามทีเถอะ จะมีสักกี่บ้านที่ยอมทำตามในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเปิดแอร์ที่ 27 องศาฯ แล้วใช้พัดลมช่วย อย่าลืมอากาศข้างนอกทะลุ 40 องศาฯ ไปแล้ว

เอาเข้าจริง ก็ยอมที่จะควักเนื้อจ่ายค่าไฟแพงขึ้นมาบ้าง เพื่อช่วยบรรเทาความร้อนให้ลดลง เพราะอย่าลืมว่า แค่ทุกวันนี้ ต้องทำงาน ทำมาหากิน ก็แย่อยู่แล้ว หากต้องมาทนสภาพอากาศร้อนอีก คงอยู่ไม่ไว้

แต่การยอมควักกระเป๋าจ่ายค่าไฟแพง ไม่ใช่หมายความว่า…จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เป็น 100% เช่นนี้ !!

ด้วยเหตุปัจจัยเช่นนี้…ทำให้บรรดาเสียงเรียกร้อง เสียงก่นด่า ต่างออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรมกันทุกวัน ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริง และโลกโซเชียล

ที่สำคัญ!! การที่ภาครัฐเลือกปรับลดค่าไฟให้หน่วยละ 7 สตางค์ สำหรับค่าไฟฟ้างวดใหม่ หรืองวดที่ 2 ของปี 66 (พ.ค.-ส.ค.) ก็ยิ่งทำร้ายจิตใจ ทำร้ายความรู้สึกของประชาชนคนไทยเพิ่มมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้าประเภทที่อยู่อาศัย

เพราะเท่ากับว่าค่าไฟได้ลดค่าไฟจากงวดแรก (ม.ค.-เม.ย. 66) ลงไปเพียงแค่ หน่วยละ 2 สตางค์ จากหน่วยละ 4.72 บาท เหลือหน่วยละ 4.70 บาท

Photo hand is touching the transformer with copy spaceincorrect energy detection methodwatthour meter of electricity for use in home applianceelectronics

แถม…การเรียกเก็บค่าไฟประเภทที่อยู่อาศัย ยังเป็นแบบอัตราก้าวหน้า คือใครใช้ไฟมาก ก็เสียมาก เข้าให้อีก ก็เท่ากับว่าเสียสองเด้งกันทีเดียว

ขณะที่ภาคเอกชนได้รับประโยชน์ โดยเสียค่าไฟลดลงหน่วยละ 99 สตางค์ จาก 5.69 บาท เหลือหน่วยละ 4.70 บาท ทั้งที่ต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างก๊าซธรรมชาติหรือแอลเอ็นจี ได้มีราคาลดลงมาก เมื่อเทียบกับกลางปี 65 ที่อยู่ที่ 53-54 ดอลลาร์สหรัฐเศษ ต่อล้านบีทียู ขณะที่ปัจจุบันอยู่ราว 12-13 ดอลลาร์สหรัฐ

ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา มีการออกมาเรียกร้องเรื่องค่าไฟแพง ทั้งภาคเอกชนเอง ทั้งประชาชนผู้ใช้ไฟเอง เพราะสภาพการเรียกร้องก็ไม่ต่างอะไรจากปัจจุบันนี้

Free photo man cunting the stack of coins

ในรอบที่แล้ว!! การเรียกร้องถือว่าเป็นผลดี เพราะภาครัฐตัดสินใจที่จะตรึงราคาค่าไฟให้กับประเภทที่อยู่อาศัย แต่ในส่วนของภาคเอกชนต้องแบกรับภาระค่าไฟแพง โดยอ้างว่าค่าเชื้อเพลิงแพง

อย่างที่รู้กันดีอยู่เต็มอกว่า…เหตุใหญ่ใจความของค่าไฟแพงนั้นเกิดจากอะไร? แม้มีหลายสาเหตุ แต่ในหลายสาเหตุก็มีปัจจัยที่เหมือนกับการ “รีดเลือดกับปู” เพื่อไปปรนเปรอให้โรงไฟฟ้าเอกชนฟันกำไร

เชื่อได้ว่า…แม้แต่ผู้บริหารประเทศเองก็ “เต็มกลืน” แต่!! ไม่ได้หมายความว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพียงแค่…กลืนเข้าไปยากหน่อยก็เท่านั้น!!

Free photo sun setting behind the silhouette of electricity pylons

ณ เวลานี้ ทั้งภาคเอกชน นักวิชาการ ต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล แม้เป็นรัฐบาลรักษาการก็ตาม ออกมาร่วมกันแก้ไขปัญหา ร่วมกันรื้อ ร่วมกันปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้ากันใหม่

เพราะหากยังปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ จะยิ่งทำร้ายเศรษฐกิจไทยให้จมเหวลงไปอีก ทั้งที่เพิ่งฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวไม่เท่าไหร่?

อย่าลืมว่า ไทยยังต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว ขณะที่เอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งภาคโรงแรม ร้านอาหาร ภัตตาคาร และอื่น ๆ หากถูกซ้ำเติม ด้วยต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น แล้วจะลุกขึ้นมายืนให้แข็งแกร่งได้อย่างไร?

ต่อให้ ณ เวลานี้ บรรดาพรรคการเมืองได้หยิบฉวยเอาเรื่องของค่าไฟแพงมาหาเสียงว่า จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ เพื่อหวังซื้อใจคนไทยในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจเข้าคูหาเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ เพื่อเลือกคนที่ใช่ เลือกพรรคที่ชอบ

แต่ถามหน่อย เอาเข้าจริง จะทำกันได้แค่ไหน? ทั้งการรื้อโครงสร้างค่าไฟ การยกเลิกค่าเอฟที การยกเลิกการเอื้อกลุ่มทุนรายใหญ่ หรืออีกหลากหลายวิธี

เชื่อเถอะสุดท้าย กลุ่มทุน ย่อมมีอิทธิพลเหนือ “น้ำคำ” ที่หยิบยกมาขายฝันให้คนไทย!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”