ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ปี 2003 คริสเตียโน โรนัลโด เด็กหนุ่มวัยทีนเอจจากเกาะมาเดยรา แนะนำตัวกับสาวกปิศาจแดงในสังเวียน โอลด์ แร็ฟฟอร์ด ได้แบบปังปุริเย่สุด ๆ ด้วยลีลาสับสยอง และการกระชากลากเลื้อยอันน่าตื่นตาตรึงใจ หลังถูก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ย่อนลงมาเป็นตัวสำรองในเกมต้อน โบลตัน วันเดอเรอร์ส ขาดลอย 4-0
อีก 18 ปีให้หลัง โรนัลโด คนเดิมหวนกลับมายัง “โรงละครแห่งความฝัน” อีกครั้ง หลังจากเดินทางออกไปไล่ล่าความฝันกับ รีล มาดริด และ ยูเวนตุส นาน 12 ปี
แน่นอนว่า โรนัลโด ในวันนี้ย่อมไม่เหมือน โรนัลโด ในวันนั้นตามสังขารที่ร่วงโรยลงไปตามกาลเวลา และอาจจะไม่ได้รวดเร็วปรู๊ดปร๊าดเป็นปลาไหลไฟฟ้าเหมือนสมัยยังเป็นตัวอ่อนซูเปอร์สตาร์อีกแล้ว
ทว่าเขาก็กลับมาพร้อมกับประสบการณ์ที่เหลือล้น และพลานุภาพในการทำลายล้างตาข่ายที่จะช่วยให้แนวรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด น่าสยดสยองขึ้นอีกอักโขเลยทีเดียว
อีกทั้ง โรนัลโด ในวัย 36 ย่าง 37 ก็ยังมีร่างกายที่ฟิตปั๋งจนเด็กหนุ่มในวัย 20 ยังต้องอิจฉา และน่าจะยืนระยะค้าแข้งต่อไปได้จนถึงหลักสี่สบาย ๆ แน่นอน
ว่ากันว่า หาก โรนัลโด ยังเป็นวัยรุ่นหฤห่าม เขาก็อาจจะตัดสินใจย้ายไปสวมเครื่องแบบสีฟ้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี เพื่อแสวงหาความสำเร็จแข่งกับคู่แค้นแสนรักอย่าง ลิโอเนล เมสซี โดยไม่สนเสียงทัดทานจากอดีตเพื่อนร่วมทีม หรือ แฟนบอลเรด อาร์มี ไปแล้ว
ทว่าในช่วงบั้นปลายชีวิตค้าแข้งอย่างนี้ มันคงไม่มีฉากจบแบบไหนที่จะสวยงามเกินไปกว่าการกลับมาแขวนสตั๊ดกับสโมสรที่มีส่วนปลุกปั้นตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังดังเช่นปัจจุบันอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อีกแล้ว
แถมมันยังเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้เขาสามารถถนอมตำนานของตัวเองในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด และสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับแฟนบอลอสูรแดงไม่ให้บุบสลายไปได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามภารกิจที่รอ โรนัลโด อยู่ในการหวนคืนรังเก่าหนนี้ดูจะท้าทายมากกว่าที่ผ่านมาเพราะมันคือการพา แมนฯ ยูไนเต็ด ปีนกลับขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีให้ได้อีกครั้ง
แน่นอนว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้ของ โรนัลโด ไม่ได้ถูกโรยเอาไว้ด้วยกลีบกุหลาบเมื่อมองจากคู่แข่งที่ยืนขวางหน้าอยู่ไม่ว่าจะเป็น แมนฯ ซิตี, เชลซี, ลิเวอร์พูล หรือ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ แต่ถ้าเขาทำได้สำเร็จมันก็จะเป็นการปิดฉากอาชีพในฝันของ ดาวเตะเลือดฝอยทอง เลยทีเดียว.
แท ยอน
