หากพูดถึงนางเอกที่มีพัฒนาการทั้งฝีมือและความนิยม ต้องมีชื่อ บัว – นลินทิพย์ สกุลอ่องอำไพ อย่างแน่นอน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ที่เธอได้ขึ้นแท่นนักแสดงนำ ก็ผ่านทั้งความสำเร็จและไม่เป็นอย่างใจหวังมาไม่น้อย แต่บัวเลือกหยอบความท้อเหล่านี้มาเป็นแรงผลักดัน พร้อมพิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานที่หลากผหลาย โดยตลอดเส้นทางในวงการ เธอไม่เคยหยุดพัฒนาหรือเลิกท้าทายตัวเอง  อีกทั้งยังกล้าออกนอกเซฟโซนจากช่อง 3 ด้วยการเลือกเป็น “นักแสดงอิสระ” วันนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดชวนสาวบัวมาพูดคุยมูฟเม้นต์ต่าง ๆ ในชีวิต ทั้งผลงาน มุมมองในวงการ และเรื่องความรัก ที่ตอนนี้เจ้าตัวแฮปปี้อินเกมส์และแฮปปี้อินเลิฟด้วย!

อัพเดทผลงานหน่อย มีอะไรให้แฟน ๆ รอดูอีกบ้าง?

“ตอนนี้ถ่ายซีรี่สอยู่ 2 เรื่องค่ะ เป็นละครรีเมคจากเกาหลีทั้งคู่ ใครเป็นแฟน ๆ ซีรี่ส์เกาหลี ก็อาจได้ดูแล้ว ที่น่าจะได้ดูปีนี้เลย ก็คือเรื่อง  ‘Remember แค้นนี้ไม่มีลืม’ ของช่องโมโน 29 เล่นกับ นนกุล (ชานน สันติธรกุล) เรื่องนี้บัวรับบทเป็นทนาย เป็นความดราม่าเข้มข้นมาก ๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรม กฎหมาย ความสนุกคือต้องมารอลุ้นว่าความยุติธรรมยังมีอยู่จริงบนโลกใบนี้มั้ย ในเมื่อถ้ามีอำนาจ มีเงิน มีคนที่มีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะทำให้ความยุติธรรมยังยุติรรมอยู่มั้ย สำหรับเรื่องนี้บัวโชคดีที่ได้เจอนักแสดงที่เก่ง กลายเป็นบัวกดดันตัวเอง กลัวว่าเราจะเล่นไม่ได้ และจะไปเป็นภาระคนอื่นมั้ย มันก็กดดันเหมือนกัน คือแต่ละคน มีทั้ง นนกุล , พี่แท่ง (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง) , พี่ชาคริต (แย้มนาม) ซึ่งพี่ชาคริตเป็นคนที่บัวชอบเขามาก ๆ เป็นแฟนคลับเขาตั้งแต่สมัยเด็ก ดู ‘เป็นต่อ’ มา พี่เขาเก่งมาก ๆ เลย การแสดงเขามีเสน่ห์มาก พอได้เล่นกับเขา บัวก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอคนที่บัวอยากร่วมงานด้วย และพอได้เล่นกับเขาจริง ๆ คือบัวเกร็งมาก ตื่นเต้นมาก มันต้องเข้าฉากกับเขา และเป็นซีนที่เป็นทนายคนละฝั่ง เราต้องสู้กัน แต่ในใจที่บัวเล่น ก็คือกลัวมากค่ะ (หัวเราะ) แต่ในบทคือฉันไม่กลัว ฉันมั่น มาสิ! ฉันสู้นะ ดีใจที่ได้เจอพี่เขา ส่วนอีกเรื่องจะเป็นของทรู ซีเจ (True CJ) ชื่อเรื่อง ‘Emergency Couple’ เรื่องนี้เล่นคู่กับพี่ฌอห์ณ จินดาโชติ ซึ่งน่าจะได้ดูปีหน้าเลยค่ะ”

สำหรับบทบาทในเรื่อง “Remember แค้นนี้ไม่มีลืม” ต้องทำการบ้านตรงไหนเป็นพิเศษมั้ย?

  “ความยากของเรื่องนี้ คงเป็นพาร์ทที่อยู่ในศาล ต้องว่าความ ด้วยความยาวของบทที่จะพูด พอมันเป็นเรื่องคำพูดเกี่ยวกับกฎหมาย บัวก็คิดเหมือนกันว่าถ้าเราลืมจะไปต่อได้มั้ยนะ (ยิ้ม) มันพูดผิดไม่ได้ ก็แอบมีความกังวลอยู่ แต่ในพาร์ทอื่น ๆ บัวก็ดูภาพรวมของเรื่อง แต่ไม่ได้ดูทั้งหมดจนจบ กลัวดูแล้วเราจะจำแอคติ้ง บัวดูแค่มู้ดรวม ไม่อยากติดมาแล้วกลายเป็นว่าเราไปเล่นเป็นแบบเขา พอมันรีเมคเราก็อยากเล่นในเวอร์ชั่นที่เป็นของเรา ก็อยากให้คนดูได้ดูและสนุกไปกับเวอร์ชั่นที่เป็นของไทย”

ในแง่ของเปรียบเทียบระหว่างเวอร์ชั่นไทยและเกาลี คงเลี่ยงได้ยาก ตรงนี้มีแอบเตรียมรับมือเอาไว้มั้ย?

“จริง ๆ บัวปล่อยใจมากเลย เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แล้วแต่ความคิดของคนเลย บัวคิดว่าเราแค่ตั้งใจทำเต็มที่ของเรา สิ่งที่คนดูได้ดู มันเป็นผลลัพธ์มากกว่า ถ้ามันดีเราก็ดีไป แต่สมมุติคอมเมนต์ติมา ถ้าดูแล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นแบบนั้นจริง ๆ เราก็ยอมรับในสิ่วที่เราบอกมา”

ไม่ได้รู้สึกอยากเอาชนะคำวิจารณ์ จนมากดดันตัวเอง?

          “ไม่อยากกกดันตัวเอง เพราะเคยกดดันตัวเองแล้ว แล้วกลายเป็นเล่นไม่ได้ บัวรู้สึกว่ามันไม่ได้ประโยชน์อะไรกับเราเลย ไม่เป็นผลดีเลย กว่าเราจะเปลี่ยนมายด์เซ็ตจากตรงนั้นได้ มันใช้เวลาอยู่เหมือนกัน งั้นเราไม่คาดหวังหรือคิดอะไรไปกับมันเลยดีกว่าค่ะ เราก็ทำเต็มที่ของเราแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นยังไง เรารู้สึกว่าเราทำเต็มที่แล้ว ”               

ขอย้อนหน่อย อะไรทำให้ตัดสินใจเป็นนักแสดงอิสระ?

“มันถือว่าเป็นการออกจากเซฟโซนของตัวเองเหมือนกันนะ บัวอยู่กับช่อง 3 มานานมาก และรักช่อง 3 มากเพราะให้โอกาสที่ดีกับบัวมาก ๆ คือการที่ออกมา บัวได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ รู้สึกเหมือนเป็นพนักงานประจำ ที่ทำงานมาจนถึงจุดนึงแล้วเรารู้สึกอยากก้าวไปในอีกสเต็ปนึงของชีวิต อยากออกมาเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยากออกมาเจอผู้คนใหม่ ๆ ก็เป็นการตัดสินใจที่ตอนนั้นก็แอบกังวล แต่คนเราในชีวิตนึงก็รู้สึกว่าไม่ลองไม่รู้ สมมุติว่าเราไม่ลองทำ มันก็จะมีคำถามกับตัวเองอยู่อย่างนั้นว่าจะยังไงนะ ทำไมไม่ลอง แต่พอเราได้ตัดสินใจลองมาดูก็รู้สึกแฮปปี้กับ ณ ปัจจุบันนี้นะคะ  มีคาแรกเตอร์ที่หลากหลายมากขึ้น งานมันก็หลากหลาย ได้เจอผู้คนใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างบัวไม่เคยได้เจอพี่ชาคริตเลย พอมาเรื่องนี้ได้เจอเขา เราก็แฮปปี้ที่ได้เจอคนที่เราอยากร่วมงานด้วย”

พอมาเป็นนักแสดงอิสระมันต่างจากที่มีต้นสังกัดยังไง  ปรับตัวเยอะมั้ย?

“จริง ๆ เรื่องการปรับตัว มันต้องปรับตัวกับทุกกองอยู่แล้ว เพราะเราจะเจอคนใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ใหม่ คือในเรื่องของการแสดงมากกว่า อย่างตอนอยู่ช่อง 3 มันจะเป็นแนวทางของละคร แต่พอออกมา บัวจะเล่นเป็นซีรี่ส์ วิธีเล่นมันจะมีความต่างกันนิดหน่อย เราต้องพยายามมาเรียนรู้ว่าซีรี่ส์เขาเล่นกันแบบนี้นะ ละครเขาเล่นกันแบบนี้ เราต้องคอยดูและบัวต้องคอยบอกผู้กำกับอยู่ตลอดว่า ถ้าสมมุติหนูเล่นแล้วรู้สึกว่ามันมีความเป็นละครมากไป พี่เตือนหนูด้วยนะ เพราะซีรี่ส์จะเล่นน้อยกว่าละครอยู่ประมาณนึง เราเล่นแค่อารมณ์ความรู้สึกได้ บัวต้องเรียนรู้และดูจากคนอื่น ๆ ที่เราร่วมงานด้วยค่ะ”

มีวิธีเลือกรับบทบาทยังไง?

“เลือกเรื่องที่เราอยากเล่นเลยค่ะ (ยิ้ม) จริง ๆ ถ้าแบบเล่นได้ก็อยากเล่นแทบทุกเรื่องที่เขาเสนอมาเลย แต่ต้องดูในเรื่องของคิวด้วย และพี่แพร ผู้จัดการของบัวก็ช่วยคอยดูด้วยอีก บัวไม่ได้คิดคนเดียว มีผู้จัดการและอีกหลายคนคอยให้คำปรึกษาและช่วยคิดว่าอยากให้รับเรื่องไหน เราก็ปรึกษากันก่อน ก็เลือกเรื่องที่คาแรกเตอร์นี้เราไม่เคยเล่น เรื่องน่าสนใจ บัวอยากเล่นก็รับค่ะ”

ถ้าเป็นบทร้าย พร้อมรึเปล่า?

“ถ้าบทน่าสนใจ และตัวละครมันน่าเล่น บัวก็รับอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเราอยากเล่นอะไรที่มันหลากหลาย เหมือนเราได้เล่นคาแรกเตอร์เดิม ๆ เหมือนเราทำงานประจำ วนลูปเดิม ๆ มันก็จะมีความรู้สึกว่าก็เบื่อเหมือนกัน แต่พอได้เล่นอะไรใหม่ ๆ เราก็จะรู้สึกสนุกกับการได้เป็นตัวละครนั้น เป็นตัวละครที่เราไม่เคยเจอ มันก็สนุกดี เวลามีอะไรใหม่ ๆ”

ไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นางเอก หรือรับบทนำตลอด?

“ไม่ค่ะ จริง ๆ มันไม่ได้อยู่ในหัวบัวมาตลอดอยู่แล้ว เพราะบัวคิดว่าเราเป็นนักแสดง อาชีพนักแสดงคือสามารถเล่นได้ทุกบทบาท”

ในยุคนี้ที่โซเชียลเติบโตไวมาก และใครก็มีพื้นที่สื่อได้ มีมุมมองการแข่งขันในวการบันเทิงยุคนี้ยังไง?

“บัวอยู่ในแบบที่เราไม่อยากไปแข่งกับใคร (หัวเราะ) เพราะเราไม่อยากกดดันตัวเอง หรือเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ จริง ๆ ถ้าเรามองตัวเองแบบเปรียบเทียบในมุมมองที่ดีว่าคนนี้เก่งจังเลย เราอยากทำให้ได้แบบเขาหรือเราจะพัฒนาตัวเอง ต้องไปเรียนรู้อะไรเพิ่ม บัวรู้สึกว่ามันดีนะคะ แต่ถ้ามันต้องมาเปรียบเทียบตัวเองในแบบที่ ทำไมเราถึงเป็นไม่ได้แบบเขาแล้วเราเครียด เราไม่ทำแบบนั้นดีกว่า เราแข่งขันกับตัวเองดีกว่า ว่าเราตั้งเป้าหมายของเรา เราอยากจะทำแบบนี้ เป็นแบบนี้ และเราไปถึง ณ ตรงนั้นได้ เราภูมิใจกับตัวเราเอง แค่นั้นพอดีกว่า ไม่อยากต้องไปแข่งขันหรือกดดันกับใครค่ะ”

คนดังไม่พ้นการโดนจับตามอง ความคาดหวัง คำวิจารณ์ วิธีรับมือกับดราม่าต่าง ๆ ในแบบของ “บัว” ณ วันนี้เป็นยังไง?

“บัวไม่เครียดเลย (หัวเราะ) บัวฟังนะคะในสิ่งที่เราควรแก้ไข แต่ถ้าเราอ่านแล้วมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเรา หรือว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับเรา ก็ไม่ต้องไปเครียดกับมันดีกว่า มันนานาจิตตังค่ะ ความคิดคน เราไปห้ามเขาไม่ได้ เรายังคิดได้เลยว่าทำไมอย่างโน้นอย่างนี้ ขนาดตัวเรายังเป็นแบบนั้นเลย บัวพยายามอยู่แบบเข้าใจคน พยายามมองโลกให้เป็นกลางว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ บางทีเราก็ห้ามเขาไม่ได้ ก็เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เราแฮปปี้ดีกว่า”

กว่าจะประสบความสำเร็จมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มองย้อนไปคิดว่าตัวเองผ่านความพยายามมายังไง เคยมีอุปสรรคครั้งไหนที่ทำให้เราถอดใจ จนอยากออกจากวงการมั้ย?

“มีค่ะ จริง ๆ ที่ผ่านมาทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เคยมีนะคะที่รู้สึกท้อใจ ไม่อยากเล่นแล้ว แต่เหมือนต้องพยายามดึงตัวเองขึ้นมา และคิดว่าเราต้องทำให้ได้ พยายามทำให้เขาเห็นให้ได้ เหมือนเอาความท้อเป็นแรงผลักดันจริง ๆ นะ มันก็ต้องลุกขึ้น สู้ให้เขาเห็นให้ได้ ว่าเราสามารถทำได้ค่ะ”

พอมาวันนี้ขึ้นแท่น “นางเอก” รู้สึกว่าเป็นการที่เราได้พิสูจน์ตัวเองในด้านไหนมั้ย?

“จริง ๆ บัวอยากเป็นนักแสดงต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ เพราะรู้สึกรักอาชีพนี้แล้ว เหมือนเราเจอทางของเรา ถ้าอยากให้พิสูจน์ตัวเองก็คือในทุกบทที่บัวเล่น คนดูได้ชมและเชื่อในสิ่งนั้น ชอบที่เราเล่นเรื่องนั้น บัวก็รู้สึกว่าแฮปปี้แล้วนะคะ”

คำว่านักแสดงที่ประสบความสำเร็จ สำหรับ “บัว”  เป็นยังไง ต้องมีรางวัลมาการันตีฝีมือรึเปล่า?

“รางวัลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจ แต่เราก็ไม่ได้ไปคาดหวังว่าเราจะต้องเล่นเรื่องนี้เพื่อจะให้ได้รางวัล คือเราก็เต็มที่ในทุกงานของเราไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว ถ้าเดินไปแล้วคนบอกว่าเล่นเก่งมากเลยนะ แค่นี้เราก็แฮปปี้แล้วจริง ๆ เวลาที่ไปเจอคนที่เขาดูและชมเราค่ะ”

อัพเดทความรักหน่อย เห็นว่ามีคนคุย คบมากี่ปีแล้ว ยังต้องปรับตัวอยู่มั้ย?

“จริง ๆ มันก็ไม่ได้เรียกว่าคบหรอกค่ะ เราก็ยังคุย ๆ กันไปเรื่อย ๆ บัวรู้สึกว่าเพิ่งออกมาเป็นอิสระ เราก็อยากโฟกัสตรงนี้ เรายังพูดเหมือนเดิมนะ ว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เราก็อยากให้เวลากับตรงนี้ บัวไม่ได้ปิดกัน ถ้ามีใครเข้ามาคุย เราก็คุยอยู่แล้ว คนที่คุยสำหรับบัว เขาต้องเข้าใจในงานของเรา และถ้าเขาอยู่ได้ เราก็จะคุยกันไปเรื่อย ๆ  และถ้าวันนึงเป็นคนที่ใช่ มันก็จะใช่ค่ะ”

อะไรที่ทำให้บัวเปิดใจคุยกับคนนี้?

“สำหรับบัวว่าถ้าเราอยู่ด้วยแล้วเป็นตัวเรา เขาเข้าใจเรา แค่นี้ก็โอเคแล้ว ถ้าเป็นคนดี”

เห็นยังไม่พร้อมเปิดตัว เพราะกลัวกระทบงาน อยากให้โฟกัสที่ผลงานมากกว่าเรื่องส่วนตัวรึเปล่า?

“ใช่ค่ะ ก็ด้วย และบัวรู้สึกว่ามันก็แล้วแต่คน บางคนอาจมองว่าสมัยนี้อยากจะคุยกับใคร อยากจะเปิดกับใคร ก็เปิดไปสิ ไม่เห็นต้องปิดเลย ซึ่งบัวไม่ได้ปิดนะคะ แต่ถ้าบัวรู้สึกว่ามันแล้วแต่ ความสบายใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างบัวรู้สึกว่าการที่บัวอยู่แบบนี้ บัวสบายใจ ให้เขามีพื้นที่ส่วนตัว เราให้เกียรติกัน บัวแฮปปี้กับตรงนี้ก็คิดว่ามันโอเคค่ะ”

อีกฝ่ายเข้าใจมั้ย?

“เขาต้องเข้าใจค่ะ ถ้าสมมุติเป็นคนที่ไม่เข้าใจ เขาก็คงไม่อยู่แล้ว (หัวเราะ) ”

ในฐานะที่ “บัว” เป็นนักแสดงที่มีแฟนคลับคอยซัพพอร์ท มีวิธีบางลานซ์เรื่องงาน รักษาฐานแฟนคลับและดูแลความสัมพันธ์กับคนที่คุยยังไง?

“เราก็เป็นตัวของเราเองและใส่ใจกับทุกคน ดูแลทุกคนให้เต็มที่ แค่นั้นเลยค่ะ (ยิ้ม)”

นิยาม “ความรัก” ของ “บัว” ณ วัยนี้ เป็นยังไง?

“มันคงต้องแยกเป็นหลายอัน สำหรับครอบครัวความรักของบัวคือให้เขาเต็มที่เลย บัวอยากให้พ่อของบัวอยู่ในช่วงชีวิตของเขาที่มีความสุข ได้พักเต็มที่ ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาอยากใช้เต็มที่ เราก็ดูแลเขาเต็มที่ ส่วนแฟนคลับ เราต้องขอบคุณเขามากกว่า เราเหมือนเป็นผู้ได้รับมากกว่าที่เราให้เขาเลย ความรักของแฟนคลับเป็นกำลังใจดี ๆ เป็นพลังดี ๆ ให้กัน ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย กับการที่คนที่ไม่ใช่ครอบครัวเรา ไม่ได้รู้จักเรา แต่เขาพร้อมซัพพอร์ทเราเต็มที่ เขารักเรามาก ๆ บัวโชคดีที่ได้เจอคนที่รักเราและพร้อมสนับสนุนเราในทุกผลงาน มันน่ารักและเป็นกำลังใจที่ทำให้เราอยากทำงานดี ๆ ให้เขาได้ดู ส่วนเรื่องของความรักชีวิตคู่ ถ้าวันนึงมันเจอคนที่ใช่ มันก็ใช่ สำหรับบัวการมีคู่ คืออยากมีเพื่อนที่อยากอยู่ไปด้วยกัน คำตอบโคตรเบสิคเลย คือร่วมทุกข์ร่วมสุข มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ้าเรามีปัญหา เขาก็พร้อมจะอยู่กับเรา คอยอยู่ข้าง ๆ เรา ถ้าเรามีความสุข เราก็หัวเราะไปด้วยกันเท่านั้นเลย”

ไม่ต้องโรแมนติกมาก?

“มีบ้างก็ดีค่ะ (ยิ้ม) มันก็เป็นการหล่อเลี้ยงความรักให้มันอยู่ด้วยกันไปยาว ๆ บัวเคยเห็นคู่ของพี่นักแสดงคนนึง ที่แต่งงานกันมาแล้ว และแฟนของเขาก็มาที่กองละครด้วยตลอดเลย ซึ่งเขาแต่งงาน มีลูกกันมา 20 กว่าปี แต่ความรักเขาไม่เก่าเลย อันนี้เป็นคำนั้นที่บัวพูดกับพี่เขาจริง ๆ ว่าความรักพี่ไม่เก่าเลย มันน่ารักมาก ๆ กับการที่เขาดูแลเทคแคร์กัน เขาใส่ใจความรู้สึกกัน มันดีมาก ๆ บัวว่ามันก็ต้องมีจุดดนั้นด้วย”

ณ ถึงวัยนึงที่พร้อม “บัว” ก็มองถึงการแต่งงาน มีภาพสวมชุดเจ้าสาวในหัว?

“ใช่ มันก็มีอยู่แล้ว เราก็คิดว่าเราก็อยากมีครอบครัวที่อยู่เป็นเพื่อนกันค่ะ”

อีกหนึ่งความรัก คือแฟนคลับ มีคำพูดหรืออะไรที่ประทับใจเล่าให้ฟังบ้าง?

“แฟนคลับคือมีตลอดจริง ๆ เวลาไปเจอกัน เขาก็จะชอบมีของ ทำพรอพมาให้ มันน่ารักมา เขาเป็นกำลังใจที่ดีมาก ๆ เลย สำหรับบัวรู้สึกว่าเขาทุ่มเทให้เราจริง ๆ ค่ะ ก็ขอบคุณที่เราได้มาเจอกันและเป็นกำลังใจดี ๆ ให้กันค่ะ ”

ฝากถึงแฟน ๆ และฝากผลงาอีกสักครั้ง?

“ขอฝากผลงานซีรี่ส์ต่าง ๆ ที่บัวแสดง และยังมีรายการทางยูทูบ ‘บัวศรี is Happy’ ก็เป็นการชวนเพื่อนมาทำอาหารให้กิน ซึ่งรายการนี้มันเริ่มจากตอนที่เป็นโควิด จริง ๆ บัวเป็นคนทำกับข้าวไม่เป็น และเคยไปออกรายการของ โม (มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ) ชื่อ ‘MOMON HappyGirl’  ซึ่งโมก็ชวนบัวไปทำกับข้าวที่บ้าน พอทำไม่เป็นมันก็ดูตลกดี เลยกลายเป็นเราคิดคอนเทนต์ขึ้นมาว่าเราลองทำช่องของตัวเอง ที่เราทำกับข้าวไม่เป็น แต่ว่าใจเราอยากให้เพื่อนกิน เริ่มจากซีวั่นแรกตอนนั้นยังเจอกันไม่ได้เพราะยังโควิดอยู่ ก็เป็นการวิดิโอคอล ชวนคุย แขกรับเชิญก็รีเควสมาว่าอยากกินอะไร และเราส่งกับข้าวไปเข้ากิน ก็ต้องมารอลุ้นว่ากินได้หรือไม่ได้ เพราะมันเป็นเมนูที่บัวยังไม่เคยทำ ก็ลองทำดู ถ้าอร่อยก็โชคดีไปค่ะ ซึ่งการทำยูทูบของบัว ก็เป็การทำให้ตัวเราไม่ได้หายไป ยังมีงานออกมาให้แฟนคลับได้ดูเรื่อย ๆ เป็นไลฟ์สไตล์ของเราค่ะ”

เรียกได้ว่าวันนี้ “บัว” คืออีกหนึ่งข้อพิสูน์ว่าความพยายามไม่เคยทรยศใคร และแม้วันนี้หนทางในวงการของเธอยังอีกยาวไกล แต่เชื่อว่าด้วยความรักในงานแสเดง และความตั้งใจ และพร้อมพิสูจน์ตัว โดยไม่จมปลักอยู่กับความท้อหรือผิดหวัง จะทพำให้แฟน ๆ ได้เห็นผลงานดี ๆ จากเอคนนี้อีกมากมายแน่นอน

เรื่อง : วันวิสาข์ ดอกเงิน