ย้อนกลับไปในยุคสัก 30 ปีก่อน ซึ่งว่ากันว่าเป็นยุคเฟื่องฟูสุด ๆ ของวงการมวยไทยนั้น สิ่งบ่งบอกถึงความเฟื่องฟูคือการที่ศึกใหญ่ ๆ เก็บค่าผ่านประตูกัน 2-3 ล้านเป็นเรื่องปกติ หลายศึกห้องตั๋วต้องปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น มวยแม่เหล็กเดินชนกันไหล่เคล็ด

แม้กระทั่งในยุคนั้น ค่าตัวนักมวยที่แพงที่สุด ซึ่งว่ากันว่าเป็นของ แก่นศักดิ์ ส.เพลินจิต นั้น มีข่าวว่าตกอยู่ไฟต์ละราว 350,000 บาท

ตัดภาพมาในวงการมวยไทยปัจจุบัน จะด้วยปัญหาอะไรก็แล้วแต่ แต่มวย 5 ยกอยู่ในสภาพซบเซา และไม่ใช่กระแสหลัก (mainstream) ของวงการมวยอีกแล้ว

กระแสหลักของวงการมวยบ้านเราเวลานี้ กลายเป็นมวยในรูปแบบ 3 ยกที่เพิ่มเอ็นเตอร์เทนเมนต์เข้าไป และปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์กรที่มาแรงที่สุดคงหนีไม่พ้น “ONE Championship” ด้วยปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความสนุกตื่นเต้นของเกมการชก แสงสีเสียง รวมถึงเม็ดเงินที่กระจายลงไป

มาแรงหรือไม่นั้น ไม่ต้องไปดูถึงศึก ONE ใหญ่ เอาแค่ว่าการที่ศึก “ONE ลุมพินี” ได้ถ่ายทอดสดในเวลาไพรม์ไทม์ของวันศุกร์ โดยที่ช่อง 7 ยอมถอดละครหลังข่าวซึ่งยึดพื้นที่มายาวนานเป็นสิบ ๆ ปีเพื่อหลีกทางให้ แถม 12 นัดที่ผ่านมายังโกยเรตติ้งกระฉูดชนิดเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งนั้น มันบ่งบอกได้ทุกอย่างแล้ว

และไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาตรี ศิษย์ยอดธง บิ๊กบอสของ “ONE Championship” เพิ่งประกาศกร้าวว่าภายในปีนี้ จะมีนักชกไทยชั้นแนวหน้าใน “ONE Championship” ที่จะโกยเงินเข้ากระเป๋าถึงไฟต์ละ 10 ล้านบาท!!!

ซึ่งนักชกที่อยู่ในข่ายมีลุ้นก็มีอยู่หลายคน แต่สิ่งสำคัญคือมันแสดงให้เห็นว่าถ้าคุณทุ่มเทกับมันจนก้าวขึ้นมาสู่ ONE และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ชั้นแนวหน้าได้ ชีวิตคุณจะพลิกผัน มีสิทธิ์กลายเป็นมหาเศรษฐีแบบจับต้องได้

เพราะตัวเลข 10 ล้านบาทนั้น บางคนต่อยมวยไทย 5 ยกทั้งชีวิต ยังไม่มีสิทธิ์ฝันถึงเลยด้วยซ้ำ…

ผยองเดช