โดยรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งวันที่ 3-7 เม.ย.นี้ ผ่านมา 3 วัน จ.สมุทรสงคราม มีผู้สมัคร ส.ส.แล้ว จำนวน 10 คน จาก 10 พรรคการเมือง ขณะที่ จ.สมุทรสงคราม มี ส.ส.ได้เพียงคนเดียว แต่หากเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ถือว่าน้อยมาก ครั้งนั้นมีผู้สมัครถึง 27 คน จาก 27 พรรคการเมือง แสดงว่า สมุทรสงคราม แม้จะเป็นจังหวัดเล็ก แต่ก็เป็นที่หมายปองของพรรคการเมืองน้อยใหญ่ที่ต่างก็อยากได้เก้าอี้หนึ่งเดียวตัวนี้ไปเพิ่ม เพื่อจะได้เป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาลแบบตาไม่กะพริบ

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สมัครส่วนใหญ่ยังเป็นคนหน้าเดิมและที่เป็นตัวเก็งก็เช่น “เจ๊โอ๋” น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม เบอร์ 4 ที่ครองแชมป์มาแล้ว 5 สมัย ครั้งนี้ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปอยู่ พรรครวมไทยสร้างชาติ กับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องยกให้เป็นตัวเก็งก็เพราะ “เจ๊โอ๋ รังสิมา” ถ้าไม่มีฐานเสียงที่เป็นแฟนพันธุ์แท้หรือกลยุทธ์ที่แยบยลแล้วก็คงไม่ได้แชมป์ถึง 5 สมัยติดต่อกัน ที่น่าเป็นห่วงก็แต่รวมไทยสร้างชาตินั้นเป็นพรรคใหม่ คาดเดาไม่ได้ว่าจะได้คะแนนพรรคมาช่วยมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น “เจ๊โอ๋ รังสิมา” จึงต้องพึ่งพาคะแนนตัวเองให้มากที่สุด เพราะเลือกตั้งเมื่อปี 62 แม้เจ๊โอ๋จะชนะ แต่ก็หืดขึ้นคอจากที่เคยทิ้งห่างคู่แข่งหมื่นสองหมื่นคะแนนก็เหลือเพียงแค่ 26,718 คะแนน และชนะอันดับ 2 เพียงแค่ 4 พันกว่าคะแนนเท่านั้น

ที่ประมาทไม่ได้ก็คือ นายนพพล ธนิกุล เบอร์ 2 จากพรรคพลังประชารัฐ ของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี “นพพล” แม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่ก็เตรียมตัวมานานและขึ้นมาทาบรัศมี เจ๊โอ๋ รังสิมา ทันทีที่เริ่มเปิดตัว เพราะนอกจาก “นพพล” จะเป็นลูกชายของ ร.ต.นุกูล ธนิกุล อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม 4 สมัย และอดีต สว.สมุทรสงคราม อีก 1 สมัยแล้ว ปัจจุบันยังมีมารดา คือ น.ส.กาญจน์สุดา หรือสุกานดา ปานะสุทธะ เป็นนายก อบจ.สมุทรสงคราม อีกด้วย นอกจากนี้ เมื่อการเลือกตั้งปี 62 พรรคพลังประชารัฐ ยังได้ถึง 21,868 เป็นลำดับที่ 2 แพ้ เจ๊โอ๋ รังสิมา ไปแบบมีลุ้นทุกกระดาน การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเชื่อว่าทีมงานพรรคพลังประชารัฐคงจะเห็นจุดอ่อนแล้วว่าแพ้เพราะอะไร ที่สำคัญหาก “นพพล” โค่น เจ๊โอ๋ รังสิมา ลงได้ก็จะเป็นการชำระแค้นให้กับบิดาที่ถูก เจ๊โอ๋ รังสิมา โค่นลงในการเลือกตั้งเมื่อปี 44 แล้วยึดเก้าอี้ตัวนี้มาครองจนปัจจุบันอีกด้วย

อีกหนึ่งตัวเก็งคือ นายอานุภาพ “กล้า” ลิขิตอำนวยชัย เบอร์ 7 จากพรรคก้าวไกล ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะการเลือกตั้งเมื่อปี 62 พรรคอนาคตใหม่ที่มาเป็นพรรคก้าวไกลวันนี้ เคยได้ถึง 17,268 คะแนนเป็นอันดับ 3 แบบคะแนนไม่ห่างกันมากนักมาแล้ว ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าพรรคนี้ยังครองใจวัยรุ่นมาต่อเนื่อง ผ่านมา 4 ปี กลุ่มอายุ 18 ได้กลายเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งอีกนับพันคน อีกทั้งภาคประมงใน จ.สมุทรสงคราม ไม่น้อยได้หันไปเชียร์พรรคก้าวไกล อ้างว่า 8 ปีที่ผ่านมา ภาคประมงบอบช้ำจนบางคนต้องหันไปประกอบอาชีพอื่น นอกจากนี้ “กล้า” ยังเคยลงสมัครนายก อบจ.สมุทรสงคราม เมื่อปี 63 ได้ 13,232 คะแนน นอกจากนี้ “กล้า” ยังมีบิดาคือนายอำนวย ลิขิตอำนวยชัย ที่เคยเป็นนายก อบจ.สมุทรสงคราม มาแล้ว 2 สมัยจึงเป็นไปได้ที่ “กล้า” ก็มีโอกาสสูงที่จะคว้าเก้าอี้ตัวนี้ไปครองได้สูง

ที่วิ่งไล่ตามมาติดๆ แบบหายใจรดต้นคอตัวเก็งก็คือ น.ส.ณิชาภา “รัก” โกวิทานนท์ เบอร์ 8 จากพรรคเพื่อไทย “รัก” ไม่ใช่คนหน้าใหม่ทางการเมือง เพราะเคยเป็นรองนายก อบต.สวนหลวง (ปัจจุบันเทศบาล) เคยเป็น ส.จ.เขต 3 อัมพวา และเคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.สมุทรสงคราม มาแล้วเมื่อปี 62 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา แม้จะสอบตก แต่ก็ไม่ทิ้งพื้นที่ไปไหน ซ้ำการเลือกตั้งครั้งนี้ว่ากันว่าได้น้ำเลี้ยงดีจากเฮียคนดังแห่งเมืองมหาชัย จ.สมุทรสาคร อีกทั้งยังจะได้คะแนนพรรคเพื่อไทย จากภาคประมงส่วนหนึ่งมาช่วย จึงอาจทำให้มีโอกาสแซงทางโค้งเข้าป้ายได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้สมัครที่เป็นม้ามืดที่ไม่ใช่ม้านอกสายตาและประมาทไม่ได้อีกหลายคน เช่น นายธนธัส “เอส” ขุนนุช เบอร์ 6 จากพรรคประชาธิปัตย์ ของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายดิเรกฤทธิ์ “เสี่ยหมู” เล็กสกุล เบอร์ 9 จากพรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช นายนิทรารัตน์ “ทนายโต” แพทย์วงศ์ เบอร์ 1 จากพรรคไทยสร้างไทย ของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ นายณรงค์ ญานศิริ “เสี่ยช่อน” เบอร์ 5 จากพรรคภูมิใจไทย ของนายอนุทิน ชาญวีระกุล นายพิพัฒน์ สวนสวัสดิ์ เบอร์ 3 จากพรรคไทยภักดี ของ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และ นายวสันต์ เหลาโชติ เบอร์ 10 จากพรรคเพื่อชาติไทย ที่เสนอตัวให้ชาว จ.สมุทรสงคราม เลือกซึ่งก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ จึงเป็นหน้าที่ของชาวสมุทรสงคราม ที่จะพิจารณาว่าจะเลือกใครที่เห็นว่าดีที่สุด มีจิตสำนึกสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มีความรู้ ความสามารถ รู้งาน รู้หน้าที่ แต่หากหาคนดีแบบที่กล่าวไม่ได้ก็อย่าถึงกับไม่ออกไปใช้สิทธิ เพราะจะทำให้เสียสิทธิต่างๆ ตามมามากมาย แต่ขอให้เลือกคนที่เลวน้อยที่สุดเข้าไปเป็นผู้แทนในสภา ที่จะมีการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไป ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 66 นี้ โดย จ.สมุทรสงคราม ตั้งเป้ามีผู้ใช้สิทธิไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ และบัตรเสียไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์.

มานพ จันทร์ฤทธิ์