เมื่อมาถึงนาทีนี้บทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงแตกต่างไปจากเดิม เพราะต้องสวมหมวก 2 ใบ ระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มีตำแหน่งการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองพ่วงมาด้วย ดังนั้น การทำหน้าที่จึงต้องถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้เกิดการชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้ง ก่อนที่จะมีการยุบสภาเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ก่อนหน้า 1-2 เดือน หลายฝ่ายมองว่า เป็นการเอาเปรียบคู่แข่งขัน พรรคอื่น ๆ ด้วยการลงพื้นที่โชว์ผลงานของรัฐบาลและเคลมผลงานที่ประชาชนถูกใจมาเป็นของ “ลุงตู่” แทบทั้งสิ้น และทำเป็นมอตโตว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ”

เมื่อมาสแกนย้อนดูโดยวันแรกที่เข้าเป็นสมาชิก พรรค รทสช. “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ขึ้นกล่าวปราศรัยยาวเหยียด กลางเวทีใหญ่พรรค ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซื้อใจคนในพรรค รทสช. ทำให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทั้งหมด มั่นใจและฮึกเหิม พร้อมเดินหน้าสู้ตาย ลงสนามรบเลือกตั้งไปด้วยกันกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะงานนี้เอาจริง ไม่ได้มาเล่น ๆ และไปไหนไปกันพร้อมจะลุยทุกพื้นที่ จะเห็นจากตารางแผนงานในช่วงหลังสมัครสมาชิกพรรค พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการต่างจังหวัดสัปดาห์ละ 1-2 จังหวัด 

พอมาช่วงหลังท้ายเทอมรัฐบาลเพิ่มความถี่ลงพื้นที่ต่างจังหวัดเกือบทั้งสัปดาห์ จนมีการมองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลจึงมีอำนาจรัฐและใช้งบประมาณแผ่นดิน ลงพื้นที่ตรวจราชการเอื้อค่ายรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แบบโจ่งครึ่ม ไม่แคร์สายตาเพื่อนร่วมรัฐบาล ถือว่าเป็นการชิงความได้เปรียบแฝงเหลี่ยมหาเสียงหรือไม่ จนในที่สุดมีอดีต กกต. ทนไม่ได้ ไปยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบกรณีการลงพื้นที่ตรวจราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางราชการเอื้อประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่

เพราะการลงพื้นที่ตรวจราชการในฐานะนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ เน้นลงพื้นที่มีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รทสช. หรือจังหวัดที่มี ส.ส.ย้ายมาร่วมงานกับพรรค โดยการลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา ถือเป็นพื้นที่โซนภาคใต้ตอนบน เป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ของพรรค รทสช. ปักธงตั้งเป้ากวาด ส.ส.ทั้งจังหวัด ถือได้ว่าความนิยมและความชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงมีอยู่มาก เห็นได้จากมีประชาชนมารอต้อนรับและขอถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก จากนั้นวันที่ 22 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.จันทบุรี และ จ.ระยอง โดย จ.จันทบุรี เป็นพื้นที่ของอดีต ส.ส.ค่ายพลังประชารัฐ (พปชร.) โซนพื้นที่ภาคตะวันออก ถือว่าฐานเสียงยังดีใน อ.แหลมสิงห์ 

ถัดมาในเดือน มี.ค. “บิ๊กตู่” ลงพื้นที่ตรวจราชการรัว ๆ โดยในวันที่ 2 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จ.อุดรธานี โดยแม้จะเป็นพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งพรรค รทสช. ไม่ได้ตั้งเป้าหวังปักธงได้ ส.ส.ในจังหวัดใดเลยนั้น แต่ใช้ยุทธศาสตร์ชักชวนคนเห็นต่างมาร่วมงานกับพรรคให้มากที่สุด และต่อมาในวันที่ 3 มี.ค. ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่ได้มีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รทสช. มารอต้อนรับ เนื่องจากพรรคยังไม่มีการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ภาคกลาง 

ส่วนวันที่ 10 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ “เสี่ยไก่” กิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา บ้านใหญ่เมืองแปดริ้ว พื้นที่สำคัญภาคตะวันออก ตั้งเป้าปักธงผู้สมัคร ส.ส. 3 เก้าอี้ โดย 1 ใน 3 เก้าอี้มี “ชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์” บุตรชาย เป็น ส.ส. เขต 2 ฉะเชิงเทรา ย้ายมาจากพรรค พปชร. ด้วย จากนั้นล่องใต้โดยวันที่ 11 มี.ค. ลงพื้นที่ จ.สงขลา วันที่ 15 มี.ค. จ.นราธิวาส วันที่ 16 มี.ค. ไป จ.ระนอง ต่อด้วยขึ้นไป จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 17 มี.ค. และปิดท้ายวันที่ 19 มี.ค. ที่ จ.ภูเก็ต ก่อนมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาประกาศในราชกิจจานุเบกษา 

อย่างไรก็ตาม นอกจากงานลงพื้นที่ตรวจราชการแล้วยังมีสลับฉากงานในฐานะนายกฯ พ่วงงานพรรค รทสช. ในฐานะสมาชิกพรรค และประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รทสช.โดยเลือก จ.ชุมพร เป็นจังหวัดแรกให้ “บิ๊กตู่” ขึ้นปราศรัยชิมลาง เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา ทว่าจังหวัดชุมพรถือเป็นประตูสู่ภาคใต้  ถือเป็นจังหวัดฐานเสียงเกรดเอของพรรค รทสช. ในการปักธง ส.ส.เขตครบทั้งจังหวัดเช่นเดียวกัน  เพราะได้บ้านใหญ่ทีมลุงตู่ อย่าง “ลูกหมี” ชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร 3 สมัยพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเสริมทัพโกยคะแนนจากคนปักษ์ใต้ เห็นได้จากเวทีปราศรัยชาวบ้านมาเกือบ 5,000 คน ฟังปราศรัยเต็มแน่นศาลากลางเทศบาลเมืองชุมพร ในพื้นที่จังหวัดชุมพรคะแนนความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเหนียวแน่นเมื่อเทียบกับพรรคคู่แข่งหลาย ๆ พรรคที่หวังตีเมืองปักษ์ใต้ด้วยเช่นกัน

ขณะที่เวทีปราศรัยโซนพื้นที่อีสาน เป็นการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่จังหวัดที่สองของพรรค รทสช. เปิดเวทีประตูสู่ภาคอีสานที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา ด้วยการชูสโลแกนลูกอีสาน หลานย่าโม เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ เกิดที่จังหวัดนครราชสีมา มีเลือดอีสานเต็มตัว แต่ปรากฏว่าเวทีปราศรัยที่โคราช ไม่คึกคักเหมือนที่จังหวัดชุมพร ชาวโคราชฟังปราศรัยบางตาจนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้โหรงเหรง 

แน่นอนว่า พรรค รทสช. วางกำหนดการเปิดปราศรัยเป็นรายจังหวัด ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา โดยแกนนำพรรคที่คุมพรรคต่าง ๆ เตรียมแผนขึ้นเวทีปราศรัยช่วงเดือน เม.ย.นี้ จะเป็นการเปิดปราศรัยพื้นที่เจาะจังหวัดเป้าหมายของพรรคที่คาดหวังจะได้เก้าอี้ ส.ส. โดยวางตัว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำหาเสียงและขึ้นเวทีปราศรัย ใช้คะแนนความนิยมในตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกคะแนนให้พรรคและตัวผู้สมัคร ส.ส.ด้วย

อีกไม่นานเกินรอก็คงจะได้รู้แล้วว่า ประชาชนจะเลือกใครเข้ามาบริหารประเทศ งานนี้รอดูได้เลยว่าเมื่อพญาเหยียบเมืองแล้วผล
ตอบรับกระแสจะดีขึ้นมาจริงหรือเปล่า “บิ๊กตู่” จะได้กลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกหรือไม่.