ในช่วงที่คนเมืองกรุงต้องเผชิญกับปัญหา “ฝุ่นละอองที่มีค่าระดับ PM 2.5” ปกคลุมไปทั่วเมืองจนเริ่มเป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นนี้ แน่นอนว่าหลายๆ คนที่ใช้รถใช้ถนน ย่อมจะเกิดความสงสัยว่าจะมีผลต่อรถยนต์หรือไม่? และฝุ่นพิษนี้จะเข้ามาภายในรถ จนต่อส่งผลต่อผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารหรือไม่? วันนี้ “รู้ก่อนเหยียบ” มีคำตอบมาฝากกันครับ

ต้องขอบอกกก่อนว่า โดยปกติแล้ว รถยนต์จากโรงงานโดยทั่วไปจะมี “ไส้กรองอากาศ” หรือที่เรียกกันว่า กรองแอร์ ติดตั้งมากับตัวรถยนต์ เพื่อทำการดักและป้องกันมลพิษขนาดเล็กที่สามารถเข้ามาสู่ภายในห้องโดยสารได้ ซึ่งไส้กรองอากาศดังกล่าว สามารถดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็กเท่ากับ 0.3 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าความหนาเส้นผมของมนุษย์ถึง 300 เท่า รวมทั้งละอองเกสร ฝุ่นละอองบนท้องถนน ควันไอเสีย และแบคทีเรีย

หน้าที่ของกรองแอร์รถยนต์
สกัดกั้นสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆ ที่สะสมอยู่ตรงคอยล์เย็น เล็ดลอดมายังผู้โดยสารทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ คัดจมูกได้ หากสกปรกเกาะเข้าไปที่คอยล์เย็นสะสมนานเข้า ย่อมเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคต่างๆ โดยบางรายเมื่อถึงเวลาไปล้างแอร์ ก็พบปัญหาคอยล์เย็นรั่ว (ประมาณ 30-40% และขึ้นอยู่กับความสกปรกของตู้แอร์) เนื่องจากสิ่งสกปรกเหล่านี้ ได้ไปกัดกร่อนแผงคอยล์เย็นทำให้เกิดรูรั่วโดยที่ฝุ่นเหล่านั้นอุดรูรั่วอยู่ 

ผลกระทบของฝุ่นละออง
ส่วนฝุ่นละอองที่มีค่าระดับ PM 2.5 หรือสูงเกินค่ามาตรฐาน ที่คนไทยกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป “ไส้กรองอากาศจะเกิดการอุดตัน” ของฝุ่นที่เกิดจากการรวมตัวของมลพิษ และจำเป็นต้อง “เปลี่ยนไส้กรอง” เพราะไส้กรองอากาศที่อุดตันจะขัดขวางการไหลเวียนของอากาศที่จะเข้าไปในห้องโดยสาร ส่งผลกระทบทำให้ระบบทำความเย็นภายในห้องโดยสารทำงานหนักขึ้น เพื่อทำให้อากาศภายในรถเย็นลง ซึ่งจะใช้พลังงานและเชื้อเพลิงเกินกว่าที่จำเป็น และที่แย่ไปกว่านั้นคือ มลพิษสามารถแทรกผ่านไส้กรองอากาศที่อุดตันสู่ห้องโดยสารได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของไส้กรองอากาศทั้งสิ้น 

ทั้งนี้ การใช้งานกรองแอร์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ควรเปลี่ยนใหม่ทุก 1 หมื่นกิโลเมตร และใช้กรองแอร์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งรถที่คุณรักและตัวคุณเองอีกด้วยครับ..

………………………..
คอลัมน์ : รู้ก่อนเหยียบ 
โดย “ช่างเอก”
ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงที่ [email protected]