เกี่ยวกับเรื่องนี้ “รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ” ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็มและนายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยบอกว่า จากงานวิจัย Hao Ma และคณะ ตีพิมพ์ในวารสาร European Heart Journal (ehac208) ในเดือนก.ค. 2565 ได้ค้นพบว่าความถี่ของการเติมเกลือในอาหารที่บ่อยขึ้นสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่มากขึ้น
ขณะเดียวกัน การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผักและผลไม้ อาจจะมีส่วนในการลดความเสี่ยงของการเติมเกลือในอาหารและอัตราการเสียชีวิตได้เช่นกัน
“เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการกินเกลือและสุขภาพ ยังเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน การเติมเกลือในอาหาร มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความชอบรสชาติเค็มและปริมาณเกลือที่ได้รับในแต่ละวัน ดังนั้นการศึกษานี้จึงเน้นนำในเรื่องของความถี่ในการเติมเกลือในอาหารมาเป็นตัวแทนเพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมลักษณะนิสัยของการกินเกลือและอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร”
ทั้งนี้จากรายละเอียดที่นักวิจัยได้จัดทำการศึกษาเป็นหมู่คณะจำนวนกว่า 5 แสนคน จาก 22 สถาบันในประเทศสหราชอาณาจักร ได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ และเวลส์ ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปี 2010 โดยจะให้ตอบแบบสอบถามเกีย่ วกับความถี่ในการเติมเกลือในอาหาร (ไม่นับรวมการเติมช่วงระหว่างปรุงอาหาร) และตรวจปัสสาวะเพื่อดูปริมาณเกลือโซเดียม และโพแทสเซียม สำหรับข้อมูลการเสียชีวิตจะนำข้อมูลมาจากศูนย์บริการสุขภาพแห่งชาติในอังกฤษ เวลส์ และสกอตแลนด์
โดยผลการศึกษาพบว่า ความถี่ในการเติมเกลือในอาหารมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณเกลือโซเดียมในปัสสาวะและมีความสัมพันธ์แบบตรงกันข้ามกับปริมาณโพแทสเซียมในปัสสาวะ สำหรับอัตราการเสียชีวิตก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.02 เท่า 1.07 เท่าและ 1.28 เท่าในกลุ่มเติมเกลือในอาหารบางครั้ง บ่อยครั้งและทุกครั้งตามลำดับ
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยเติมเกลือในอาหารเลย และเมื่อนำปัจจัยอื่น ๆ มาวิเคราะห์ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไตเสื่อมเรื้อรัง ชนิดของอาหาร ก็ไม่ทำให้ผลการศึกษาเปลี่ยนแปลงไป การวิเคราะห์เพิ่มเติมโดยปรับด้วยปริมาณโพแทสเซียมในปัสสาวะหรือการบริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงไม่ได้เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่าความสัมพันธ์เชิงบวกที่สังเกตได้ระหว่างการเติมเกลือลงในอาหารและการเสียชีวิตส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคโซเดียมสูงมากกว่าการบริโภคโพแทสเซียมต่ำ
โดยสาเหตุการเสียชีวิตพบว่า ความถี่ในการเติมเกลือในอาหารสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคมะเร็งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้จากการคำนวณปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เพิ่มเติมยังพบว่าการรับประทานผักและผลไม้ที่เพิ่มขึ้นสามารถลดความเสี่ยงของอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากการเติมเกลือในอาหารได้
จากข้อมูลทางด้านการศึกษางานวิจัยดังกล่าว ช่วยให้ข้อมูลและความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเกลือ โดยยิ่งเติมเกลือในอาหารบ่อยขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยมากขึ้น โดยความถี่ของการเติมเกลือในอาหารสามารถประเมนิ และนำไปใช้ได้ง่าย ดังนั้นอาจจะมีประโยชน์ในการปรับรูปแบบอาหารในอนาคตต่อไป ส่วนในประเทศไทยที่ประชาชนนิยมเติมน้ำปลาและเครื่องปรุงรส ซึ่งล้วนประกอบด้วยโซเดียมเป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับเกลือ ก็ควรลดการเติมให้น้อยลงด้วยเพื่อสุขภาพในระยะยาว.
อภิวรรณ เสาเวียง