โดยภายหลังจากกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ มีผลบังคับใช้  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ออก
มาส่งสัญญาณชัดเจน ว่า ยังไม่ยุบสภา และให้เวลา กกต. ทำงานไปก่อน

ทั้งนี้ สอดรับกับท่าทีของ กกต. ซึ่งก่อนหน้านี้ เลขาธิการ กกต. แสวง บุญมี ได้ออกมาส่งสัญญาณขีดเส้นเดดไลน์การเตรียมการเลือกตั้งว่า หลังกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับ มีผลใช้บังคับ ไม่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ กกต. จำเป็นต้องมีระยะเวลาในการเตรียมการสำหรับการจัดการเลือกตั้งราว 45 วัน

โดยแบ่งเป็นเวลาสำหรับ กกต. ในขั้นตอนของการพิจารณาและประกาศระเบียบ  กกต. ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. 400 เขต การดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้ง และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด การพิจารณาเลือกรูปแบบการแบ่งเขตของ กกต. ซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อย 25 วัน และเวลาสำหรับพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องดำเนินกระบวนการคัดสรรผู้สมัคร ส.ส. การจัดทำไพรมารีโหวต ซึ่งจะใช้เวลาอีก 20 วัน  

โดยไทม์ไลน์การเตรียมการเลือกตั้งของ กกต. หลังจากนี้ จะเริ่มสตาร์ตด้วยการออกระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาทิ ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. … ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดและขั้นตอนในการดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้ง

ทั้งนี้ เมื่อมีระเบียบดังกล่าวแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการแบ่งเขต โดย กกต. ประกาศกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี โดยคำนวณจากจำนวนราษฎรทั้งประเทศตามประกาศสำนักทะเบียนกลาง เรื่องจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 โดยมีราษฎรทั้งสิ้น 66,090,475 คน คำนวณเฉลี่ยด้วยจำนวน ส.ส. 400 คน ซึ่งจะได้จำนวนประชากรเฉลี่ย 165,226 คน ต่อ ส.ส. 1 คน

ภายหลังจาก กกต. ประกาศกำหนด ส.ส. ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีแล้ว ในส่วนของจังหวัดที่มี ส.ส. 1 คน จะยึดเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (ไม่มีการแบ่งเขต) ส่วนจังหวัดที่มี ส.ส. ได้เกิน 1 คน จะมีการแบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวน ส.ส. พึงมี โดยให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้ง (กระบวนการนี้จะใช้เวลาอย่างน้อย 7 วัน)

จากนั้นผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด พิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้ง จะประกาศรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง อย่างน้อย 3 รูปแบบ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของพรรคการเมืองและประชาชนในจังหวัด เป็นเวลา 10 วัน

เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะของพรรคการเมืองและประชาชนในจังหวัด ประกอบการพิจารณาการแบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้เสนอผลการพิจารณา รวบรวมสรุปความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของพรรคการเมืองและประชาชนในจังหวัด พร้อมผลการพิจารณาข้อเสนอแนะการแบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัดอย่างน้อยสามรูปแบบ เรียงตามลำดับความเหมาะสมต่อ กกต. เพื่อพิจารณาต่อไป (กระบวนการนี้จะใช้เวลาอย่างน้อย 7 วัน) และเมื่อ กกต. ได้ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว จะมีการประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งในราชกิจจานุเบกษา

ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคการเมือง เมื่อ กกต. ประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะต้องดำเนินการทำไพรมารีโหวต เพื่อสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผ่านสาขาพรรคหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด โดยสามารถดำเนินการได้จนถึงวันก่อนเริ่มรับสมัคร ส.ส.

ดังนั้นหากยึดตามกรอบเวลา 45 วันดังกล่าว นับคำนวณกับเวลาที่เหลืออยู่ของสภา ก็จะพบว่า นับตั้งแต่วันที่ 15  มี.ค. เป็นต้นไป จะถือเป็นช่วงเวลา “เซฟโซน” สำหรับการจัดการเลือกตั้ง ที่ไม่ว่ารัฐบาลจะมีการยุบสภา หรือจะอยู่ครบวาระในวันที่ 23 มี.ค. ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องของการจัดการเลือกตั้ง

นอกจากนั้นช่วงเวลาดังกล่าว อาจจะถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการยุบสภา (หากไม่นับรวมเงื่อนไขทางการเมือง) เพราะจะส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อย และยังเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับวันครบวาระสภา ซึ่งสอดรับกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ว่า จะมีการยุบสภาในช่วงกลางเดือน มี.ค. 2566 ก่อนจะครบวาระสภา

อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กกต. ได้เตรียมแผนการเลือกตั้งกรณีสภาผู้แทนราษฎรครบวาระในวันที่ 23 มี.ค. 2566 แล้ว ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 กำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 วันนับแต่วันที่สภาสิ้นอายุ โดยเบื้องต้นนับจากวันที่ 23 มี.ค. 2566 ที่อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง วันที่ 30 มี.ค. 2566 จะเป็นวันสุดท้ายที่คาดว่าพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้

จากนั้นวันที่ 31 มี.ค. 2566 กกต. ประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง และประกาศกำหนดวันรับสมัคร โดยวันที่ 3-7 เม.ย. 2566 เป็นวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ 11 เม.ย. 2566 วันสุดท้ายของการประกาศกำหนดหน่วยเลือกตั้ง และที่เลือกตั้ง และเป็นวันสุดท้ายประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จากนั้นวันที่ 14  เม.ย. 2566 ประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. วันที่ 16 เม.ย. 2566 สรรหาแต่งตั้งคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง วันที่ 26 เม.ย. 2566 เป็นวันสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงหน่วยเลือกตั้งและสถานที่เลือกตั้ง รวมถึงวันสุดท้ายของการเพิ่มชื่อ-ถอนชื่อ

โดยวันที่ 30 เม.ย. 2566 เป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง และนอกเขตเลือกตั้ง รวมทั้งแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส่วนวันที่ 1-6 พ.ค. 2566 เป็นระยะเวลาแจ้งเหตุไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยวันที่ 1 พ.ค. 2566 ยังจะเป็นวันสุดท้ายยื่นคำร้องเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง วันที่ 3 พ.ค. 2566 เป็นวันสุดท้ายที่ศาลฎีกาพิจารณาสิทธิสมัครกรณีผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งไม่รับสมัคร วันที่ 6 พ.ค. 2566 เป็นวันสุดท้ายที่ ผอ.เลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ยื่นคำร้องศาลฎีกา กรณีผู้สมัครขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม และวันที่ 7 พ.ค. 2566  เป็นวันเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 8-14 พ.ค. 2566 เป็นวันแจ้งเหตุไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

นอกจากนั้นยังมีการกำหนดแผนการเลือกตั้งกรณีเกิดการยุบสภา ซึ่ง กกต. จะต้องกำหนดวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 กำหนด โดยมีการกำหนดระยะเวลาคร่าว ๆ นับเริ่มจากมีการยุบสภา ซึ่งภายใน 5 วันนับแต่วันมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา กกต. จะต้องประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป และวันสมัครรับเลือกตั้งในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้หลังการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้ง กกต. จะมีการประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. ภายใน 7 วัน นับแต่วันปิดรับสมัคร ทั้งนี้วันที่คาดว่าเป็นวันเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภา

ท้ายที่สุดหากพิจารณาจากแผนจัดการเลือกตั้งที่ กกต. วางไว้ ประกอบกับเงื่อนไขกรอบเวลา 45 วัน ในการเตรียมจัดการเลือกตั้ง อาจจะคาดการณ์ได้ว่าไม่ว่าจะมีการยุบสภา หรือสภาอยู่ครบวาระ การเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค. 2566 อย่างแน่นอน.