เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.นฤมิต สายะบวร อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า เชื้อก่อโรคไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีนั้น อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งวัคซีนที่ภาครัฐจัดหามาเพื่อฉีดให้กับประชาชนนั้น ส่วนมากจะเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันได้อย่างน้อย 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ H1N1 สายพันธุ์ H3N2 และ สายพันธุ์ B/Victoria lineage ขณะที่ปัจจุบันมีวัคซีนที่ป้องกันได้4 สายพันธุ์ ซึ่งรวมถึง สายพันธุ์ B/Yamagata lineage
“เราแนะนำให้มีการฉีด วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ทุกปี เพราะจะสามารถลดอัตราการเกิดโรคที่รุนแรงได้ประมาณร้อยละ 60-70”
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ควรขาดการเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ที่แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ หากอยู่ในช่วงที่มีภาวะนํ้าตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง หรือมีอาการเบาหวานกำเริบ จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันลดลง โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันก่อนเข้าสู่ฤดูฝน
นพ.นฤมิต บอกอีกว่า เมื่อมีอาการไข้ เจ็บคอ นํ้ามูกไหล หายใจเหนื่อย อ่อนเพลียรับประทานอาหารได้น้อยลง ควรเข้ารับการประเมินอาการโดยแพทย์ เพื่อพิจารณาให้ยาต้านเชื้อไวรัสภายใน 48-72 ชั่วโมง ทั้งนี้ แม้โรคไข้หวัดใหญ่จะมีอาการผิดปกติคล้ายกับโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 แต่ใช้ยาต้านเชื้อที่ต่างชนิดกัน ส่วนรายที่อาการไม่รุนแรง อาจใช้เพียงยารักษาตามอาการได้ ซึ่งโดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่หยุดเรียน หรือหยุดงาน 3-7 วันแม้ยังไม่มีอาการรุนแรง ในกรณีที่จำเป็นต้องออกนอกบ้านจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
นอกจากนี้มาตรการ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ยังใช้ได้เสมอสำหรับการป้องกันการติดเชื้อของโรคติดต่อได้แทบทุกโรค เพียงหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพทางกาย ด้วยการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างสมํ่าเสมอทุกปี รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอพักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพใจให้ห่างไกลความเครียด จะทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีสุขภาพที่
แข็งแรงมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้โดยไม่ป่วยเพิ่ม.
อภิวรรณ เสาเวียง