ราวกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา พบหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับสินค้าระดับไฮเอนด์ ซึ่งก็คือผลจากการสำรวจของ Morgan & Stanley บริษัทที่ปรึกษา-บริหารการเงินและการลงทุนชื่อดังจากสหรัฐ ที่ระบุว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีคนซื้อหาสินค้าสุดหรูแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Gucci, Prada, Louis Vuitton, Chanel และอื่น ๆ นับเป็นมูลค่าสูงที่สุดในโลก สูงยิ่งกว่าประเทศที่มีประชากรจำนวนมากและได้ชื่อว่านิยมซื้อ นิยมใช้ ของหรูเช่นเดียวกันอย่างจีนเสียด้วยซ้ำ

M&S ประเมินไว้ว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา ชาวเกาหลีใต้ใช้จ่ายเงินทองเพื่อซื้อสินค้าประเภท “ของใช้ส่วนตัว” (คาดว่าเป็นจำพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และสินค้าแฟชั่นอื่น ๆ) เป็นจำนวนเงินถึง 16,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 552,000 ล้านบาท) คิดเป็นอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 24% 

หรือหากจะคิดเป็นรายหัว ก็คือชาวเกาหลีใต้ใช้เงินคนละ 325 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 10,674 บาท) เพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนม เป็นจำนวนเงินที่ทิ้งช่วงห่างเพื่อนนักนิยมของหรูจากประเทศจีนและอเมริกันไปไม่น้อย โดยของจีนอยู่ที่ 55 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,806 บาท) ต่อคน และของสหรัฐอยู่ที่ 280 เดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,196 บาท) ต่อคน

M&S มองว่า เหตุผลที่มีความต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมพุ่งขึ้นสูงในเกาหลีใต้นั้น เนื่องมาจากปัจจัยหลัก ๆ 2 อย่างคือ กำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้นและความต้องการของคนเกาหลีเองที่อยากจะโชว์ภาพลักษณ์หรูหราของตนสู่สังคมภายนอก ในรายงานระบุว่า การแสดงออกถึงความมั่งคั่งหรือประสบความสำเร็จด้านการเงิน มีความสำคัญสำหรับชาวเกาหลีใต้ และทำให้มีการใช้จ่ายเพื่อสินค้าหรูหราเหล่านี้มากขึ้น เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคม

ค่านิยมนี้สะท้อนให้เห็นได้ชัดจากผลสำรวจของ McKinsey บริษัทด้านการจัดการชื่อดังของโลก ซึ่งพบว่ามีชาวเกาหลีใต้ที่ตอบแบบสอบถามเพียง 22% เท่านั้น ที่มองว่าการอวดสินค้าแบรนด์เนมคือการกระทำที่ไม่มีรสนิยม นับว่าน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับผู้ที่คิดเห็นเช่นเดียวกันในชาติอื่น เช่น จีน (38%) และ ญี่ปุ่น (45%) 

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ผู้ผลิตแบรนด์เนมหันมาใช้คนดังหรือไอดอลของเกาหลีใต้ช่วยโปรโมตสินค้า ก็มีส่วนทำให้ความต้องการซื้อสินค้าเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้ คนดัง ดาราและไอดอลระดับซูเปอร์สตาร์ของเกาหลีใต้เกือบทุกคน จะได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสินค้าหรูต่าง ๆ เช่น ลีมินโฮ (Fendi), G-Dragon (Chanel) และสาว ๆ วง Blackpink ที่ได้รับการทาบทามจากทั้ง Dior, Chanel, Celine, Bvlgari และ Saint Laurent

จากมุมมองในรายงานของ M&S ชี้ว่า ตลาดสินค้าหรูในเกาหลีใต้ ที่ทำรายได้อย่างถล่มทลายนั้น เป็นเพียง “หนังตัวอย่าง” ของตลาดสินค้าหรูในจีนที่กำลังจะเติบโตตามมาแบบติด ๆ และยังไม่มีการเจาะตลาดที่จริงจัง เนื่องจากทั้งสองประเทศนี้มีความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน เกี่ยวกับค่านิยมในการซื้อและใช้ของแบรนด์เนม และมุมมองการใช้สินค้าหรูเหล่านี้เพื่อแสดงฐานะทางสังคม

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ มูลค่าการใช้จ่ายเพื่อสินค้าแบรนด์เนมของชาวจีนต่อหัว ยังคงต่ำกว่าของชาวเกาหลีใต้ประมาณ 6 เท่า ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มียอดการใช้จ่ายลดลงในจีนในช่วงที่ผ่านมา ก็คือสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด และมาตรการคุมเข้มของรัฐบาล

ในส่วนภาพรวมของตลาดโลกนั้น M&S คาดการณ์ไว้ว่า ตลาดสินค้าหรูจะเติบโตขึ้นราว 5-10% ในปีนี้ (2566) โดยจะได้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากทั้งจีนและสหรัฐ

แหล่งข้อมูล : cnbc.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES