ส่งเพลงฮิตครองชาร์ตเพลงตลอดกาลได้อย่างมากมาย สำหรับนักร้องเสียงดี ฟลุ๊ค ไอน้ำ ที่ไม่ว่าจะปล่อยเพลงไหนออกมา เป็นฮอตและปังไปเสียหมด ล่าสุดเขาส่งโปรเจคท์ดีๆ คัฟเวอร์เพลงของนักร้องระดับตำนาน ชาย เมืองสิงห์ ก็ถูกพูดถึงหนักมาก งานนี้ yimyim มีโอกาสเจอตัวหนุ่มฟลุ๊ค เลยไม่พลาดมาอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเขาให้รู้กัน

ทักทายแฟนๆ สักหน่อย พร้อมอัพเดทความพิเศษล่าสุดที่เกิดขึ้นกับงานของตนเอง
ฟลุ๊ค : “ก็ความพิเศษ เป็นโปรเจคท์พิเศษๆ ที่ทำร่วมกับ Khaosan Sound ก็ชื่อโปรเจคท์ว่า ฟลุ๊คใจสิงห์ หลายคนก็อาจจะงงว่าทำไมเป็นฟลุ๊คใจสิงห์ ก็คือนำเพลงของพี่ชาย เมืองสิงห์ ศิลปินแห่งชาตินี้นะครับ … นำมารีออเรนจ์ใหม่ทั้งหมด เป็นสไตล์ของตัวเองครับผม มีทั้งหมด 6 เพลงด้วยกันครับ ที่ถามว่าทำไมต้องพ่อชาย เมืองสิงห์ จริงๆ เราได้รับโจทย์มาว่า พ่อชาย เมืองสิงห์ ให้ลิขสิทธิ์เพลงมาทำครับ ให้มาทั้งหมด 6 เพลง ให้เราเลือกเลยว่าเราอยากจะใช้เพลงไหน เราก็ช่วยๆ กับทีม เลือกว่าเราจะใช้เพลงอะไรบ้างครับ ก็ได้มา 6 เพลงทั้งหมด เป็นเพลงสนุกๆ ทั้งหมดเลยครับผม เข้ากับบรรยากาศตอนนี้ ที่ทุกคนแบบว่าเพิ่งพักฟื้นจากการซีเรียส จากการเครียดจากโควิดด้วย”

จริงๆ ทางพี่ฟลุ๊คเองรู้จักผลงานของคุณอาชาย เมืองสิงห์ มาก่อนไหม
ฟลุ๊ค : “รู้จักครับ ทุกคนรู้จัก (ยิ้ม) ไม่ว่าจะเป็นเพลงเมียพี่มีชู้ครับ เพราะว่าเด็กพี่มีชู้ ก็ได้แรงบันดาลใจมากจากพ่อชาย ก็มีจ้ำม่ำอะไรแบบนี้ครับ ทำบุญร่วมชาติ กิ่งทองใบหยก เป็นเพลงที่แบบทุกคนรู้จัก คุ้นหู คุ้นเมโลดี้เป็นอย่างดีครับ นำมาทำดนตรีใหม่แบบใหม่ให้เป็นสไตล์สบายๆ ขึ้น เป็นตัวของผมเองมากขึ้นครับ จริงๆ มันคือการชาเลนจ์ตัวเองอย่างหนึ่งเลย ก็คือมันคือครั้งแรกที่ผมนำเพลงลูกทุ่งมาทำใหม่ ฟังยังไงมันคือลูกทุ่ง เพราะว่าหนึ่งเมโลดี้ทุกอย่าง เรายังคงเอาของพ่อชาย เมืองสิงห์ ไว้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนก็คือดนตรี เปลี่ยนให้มันดูสมัยใหม่ขึ้น ให้มันดูร็อกขึ้น ให้มันดูป๊อปขึ้น แล้วก็การร้อง ก็คือร้องเป็นสไตล์ของผมเอง สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความสนุก แน่นอนแหละ ยิ่งทำให้ดูสนุก พูดง่ายๆ คือโจ๊ะในสไตล์ของผมเอง”

ผลงานพี่ต้องเรียกว่าปังเกือบทุกเพลง เพราะกลับมาทำครั้งนี้ ด้วยรูปแบบของมันเป็นลูกทุ่งมาก่อน ความคาดหวังมันทวีคูณด้วยไหม
ฟลุ๊ค : “จริงๆ มันคือสิ่งที่ใหม่ สิ่งที่แปลกใหม่สำหรับผมก็แค่ทุกคนชอบ และทุกคนพูดว่าเพลงสนุกมาก นี่ก็ถือว่า Success แล้ว เพราะว่าสิ่งที่เราต้องการตอบโจทย์ สิ่งที่เราต้องการฟีดแบ็กกลับมา บางทีคำว่าสนุก ใช่ครับ … เพราะว่าตอนนี้เพลงแรกได้ปล่อยไปแล้ว เมียพี่มีชู้ นะครับ ก็เดี๋ยวจะปล่อยต่อไปเรื่อยๆ ทั้ง 6 เพลง แบบว่าปล่อยติดๆ กันเลย ทั้งหมดเราอัดเสียงเรียบร้อยแล้ว แล้วก็มีมิวสิกวิดีโอทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้ง 6 เพลงแล้วด้วยครับ พ่อชายก็ได้ฟังแล้ว ท่านก็บอกว่าเป็นอะไรที่ร่วมสมัยดี พ่อชายรู้สึกว่า อยากจะให้เพลงที่ทุกคนรู้จักอยู่แล้ว ไม่ได้หายไปไหน ยังวนกลับมาในสไตล์ใหม่ๆ แล้วก็ผมก็เป็นตัวแทนคนหนึ่ง ที่นำเพลงมาเพื่อให้คนรุ่นหลังๆ ได้ฟังอยู่ ยังได้เอ้ย อันนี้เพลงใคร บางคนที่ไม่เคย ได้ฟังอันจะเอ้ย นี่เพลงพ่อชาย เมืองสิงห์ แต่ว่ากลับมาครั้งนี้ มันสนุกนะ”

“ฟีดแบ็กเพลง ถือว่าโอเคครับ ทุกคนเหมือนกับว่า หลังจากถ้าเขาไม่กลับมา ก็เบาได้เบา ก็หายจากโควิดไป 2 ปี ทุกคนก็รอกลับมา แต่ว่าผมก็ไม่ได้บอกใครนะ ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะมีซิงเกิ้ลใหม่ พอทุกอย่างเสร็จปุ๊บลงภาพไปปั๊บ ทุกคนแบบมาแล้ว ทุกคนแบบว่ามันคืออะไรๆ เราก็ไม่ได้บอกว่าเราจะทำอะไร จนแบบว่าเป็นรูปเป็นร่างทั้งหมด เราก็เลยบอกว่าฟลุ๊คใจสิงห์นะ ทุกคนก็ตกใจ ลูกทุ่งครั้งแรกครับ ถามว่ายากไหม มันไม่ยากเท่าไร เพราะเราร้องเพลงเป็นตัวของตัวเองครับ ด้วยเมโลดี้เนี่ย เราคงของพ่อชาย เมืองสิงห์ อยู่แล้ว พ่อชายก็จะเอื้อนลูกคอเยอะๆ หน่อย เราก็จะเป็นป๊อป เป็นร็อกขึ้นไปหน่อย ร้องเป็นสไตล์ของเราครับ ให้เข้ากับจังหวะที่มันสนุกๆ”


งั้นขอวาร์ปมาเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย ล่าสุดหลายคนๆ ก็มีความท้อ มีความเครียดกันอย่างโควิด ทำให้พี่ฟลุ๊คเองดูแลจัดการกำลังใจตัวเองยังไง
ฟลุ๊ค : “ก็กระทบทุกคนอยู่แล้วครับ เวลา 2 ปีที่ผ่านมา ยิ่งสายงานของเรามันกระทบโดยตรงอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ออกไปโชว์คอนเสิร์ต ไม่ได้ไปเจอหลายๆ คน เลยก็คิดซะว่าเป็นช่วงที่พักผ่อนนะครับ … ความคิดส่วนตัวผมนะครับ ได้พักผ่อน แล้วก็ได้ใช้เวลากับครอบครัวเต็มที่ ได้ดูแลลูกๆ ดูแลครอบครับได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน แล้วก็บริหารจัดการเวลาในการทำอย่างอื่น เหมือนเคยที่เราเคยทำอยู่แล้ว แค่ขาดหายไปในการแสดง ในการโชว์แค่นั้นเองครับ ก็จริงๆ มันท้อไหม ก็มีบ้างครับ ผมว่าเรายังโชคดีที่มีอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาคอยรองรับ หรือคอยเป็นกำลังใจ แต่ว่าบางคนที่แบบว่าโควิดมันพรากทุกอย่างไปเลย ไม่ว่าจะเป็นพรากครอบครัว พรากงานที่รัก พรากทุกๆ อย่างในกระเป๋าของเราไปทั้งหมดเนี่ย ก็ตอนนี้มันกลับมาแล้วครับ อยากให้เราลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าสถานการณ์โรคระบาดนี้มันแป๊บเดียวแหละ มันไม่นาน เป็นกำลังใจให้ทุกคน เข้มแข็ง ลุกขึ้นมาใหม่ ก้าวขึ้นต่ออีกครั้งหนึ่ง .. หลายคนอาจจะต้องเริ่มนับหนึ่ง เริ่มนับศูนย์ใหม่ ก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนแล้วกันครับ ก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปได้ เชื่อว่าทุกคนจะกลับมาถึงร้อย ถึงพัน ได้อีกเร็วๆ นี้ครับ”

จริงๆ ใจเราตอนนั้นเคยคิด มองว่ามันไม่มั่นคงไหมในอาชีพนี้
ฟลุ๊ค : “จริงๆ แล้ว มันเป็นงานที่เรามีความสุขมากที่สุดแล้วกันครับ พูดง่ายๆ ตอบตรงๆ เลยว่า เราชอบในการร้องเพลง เราชอบในการเล่นดนตรีอยู่แล้วนะครับ ก็จริงๆ แล้วงานหลายๆ อย่าง เราก็มีอยู่เช่นเดียวกัน งานดนตรีนี้เป็นอีกงานหนึ่งที่เราทำแล้ว เราแบบว่าอยากจะทำเต็มที่มากกว่าหลายๆ งานตอนนี้ แต่ว่าด้วยทุกอย่างมันต้องมีอยู่แล้ว เราก็มีธุรกิจรองรับ ในตัวผมก็มีอยู่แล้วครับ”

พี่ฟลุ๊คอยู่วงการมา 20 ปีพอดี ที่ผ่านมาพี่ฟลุ๊คเรียนรู้อะไรจากวงการนี้บ้างคะ กับสิ่งที่รัก
ฟลุ๊ค : “มันไม่ได้ว่าเรียนรู้ดีกว่า มันเรียกว่าให้ทุกอย่างได้เลย มันมีไม่กี่คนหรอกครับ ที่จบมัธยมแล้วทุกอย่างพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือโดยทันที ทุกอย่างเข้ามา มีชื่อเสียง มีเงินทอง มีแฟนคลับ มีคนที่รักเรา ชอบเราแล้วก็ชอบในเพลงเรา เอ่อมันก้าวกระโดดเร็วมาก หลายๆ อย่างมันเกิดขึ้น ประสบการณ์ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นในช่วงที่เราเป็นศิลปินทั้งหมดเลย ประสบการณ์ทุกอย่างในชีวิตที่เราผ่านมา เกิดในช่วงที่เราเป็นศิลปินทั้งหมดเลย บางคนอาจจะแบบว่า ประสบการณ์ชีวิตก่อนมาเป็นศิลปิน แต่เราประสบการณ์ทุกอย่างอยู่ในช่วงที่เราเป็นศิลปินทั้งหมดเลย มีทั้งแบบว่าหลงในชื่อเสียง เงินทองก็มี ทุกๆ อย่าง หลายๆ อย่างมันเข้ามาประจวบเหมาะตรงนั้นพอดีเลย แต่ว่าเรามีศิลปินรุ่นในวงการที่คอยช่วยเตือน แต่ว่าเตือนแล้วไม่ใช่ว่าไม่เจอนะ ก็เจอ หลายๆ อย่างเตือน ก็ยังเป็น เตือนแล้วก็ยังเจอกับมัน ก็ต้องล้มลุกเอง ประสบการณ์มันช่วยสอนทำให้เราแบบว่าขึ้นไปในจุดที่สูงสุด การที่แบบว่าเราขึ้นไปขนาดนั้นแล้ว ทำไมตอนนี้เราเป็นแบบนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตด้วย อย่างที่บอก คือการอยู่ในวงการบันเทิงให้ชีวิตผมมากกว่า ให้ประสบการณ์ทุกอย่างในการใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นทั้งหมดเลยครับ”

ช่วงนั้นที่พี่พีคสุดๆ เพลงที่หนึ่งไม่ไหว ต้องบอกสุดจริงๆ ในชีวิต แล้วสุดทุกอย่างจริงๆ ปรับตัวทันไหม จากวันหนึ่งที่แบบยังไม่มีใครรู้จักมาก จนวันหนึ่งคนรักมากมาย
ฟลุ๊ค : ถ้าบอกว่าปรับตัวทัน ปรับตัวได้ ไม่มีทาง ไม่มีใครเชื่ออยู่แล้ว ปีแรก ที่หนึ่งไม่ไหว ที่คนรู้จักเพลงเลยครับ ปีแรกมาเริ่มทัวร์เลย พอหลังจากนั้นถัดไปอีกปีหนึ่ง รักคนมีเจ้าของ อันเนี่ยที่สุดแล้ว ผมว่าไม่มีคอนเสิร์ตไหนที่ประสบความสำเร็จเท่ารักคนมีเจ้าของแล้ว มันคือดังทั่วประเทศ แล้วก็ทัวร์คอนเสิร์ตแทบจะทุกวันในระยะเวลาเต็มๆ 2 ปีกว่าๆ เลยครับ ก็ใช้ชีวิตอยู่กับการเดินทาง โชว์ นอน เดินทางตลอดเลยครับ ก็มันคือจุดสูงสุดที่จะทำได้ ก็คิดไว้แล้วแหละว่า มันไม่มีเพลงไหนที่จะพีคมากๆ กว่า รักคนมีเจ้าของ แล้วในประสบการณ์ดนตรีของเรา แล้วมันก็จริง หลังจากนั้นมันก็เริ่มค่อยๆ คงอยู่ ที่คนจะชอบแนวเพลง แล้วก็มีเพลงอื่นเสริมขึ้นเรื่อยๆ”

ด้วยความที่เหมือนพี่ฟลุ๊คบอกว่า มีช่วงที่เราอาจจะมีความหลงใหลในชื่อเสียงบ้างบางครั้ง ตอนนั้นตัวเองถามในมุมพี่ได้ไหมค่ะ เป็นเยอะขนาดไหน
ฟลุ๊ค : “ในมุมตัวเองก็ในระดับหนึ่งแหละ แต่ว่าไม่ใช่ที่แบบว่าเราต้องพลิกเลย มันอาจจะมีความต้องการเยอะมากขึ้นในการโชว์ ต้องการมากขึ้น ต้องการเวลาที่ทุกอย่างเปลี่ยนมากขึ้น อะไรประมาณนั้นมากกว่าครับ เพราะว่าด้วยตัวผมเอง ผมไม่ค่อยที่ออกไปเที่ยวข้างนอก จริงๆ ถ้าเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ก็น่าจะอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าตอนนั้นคือไม่ค่อยไปไหน ถ้าจะดื่มก็ดื่มที่หออย่างเดียวเลย ไม่ออกไปไหนเลย มันก็เลยแบบว่า ทุกคนคิดว่าดังแล้วเรื่องเยอะ เรื่องมาก ก็น่าจะโดนกันทุกคน แรกๆ มาเลย อาร์เอส ผมต้องการรถตู้ทีมงานเพิ่ม ผมต้องการนำเครื่องดนตรีของตัวเองไปทั้งหมด เราเป็นวงแรกๆ ที่มีความต้องการเยอะ ด้วยตอนนั้นเรายังพอมีศักยภาพที่เราต้องการขอได้ ขอรถตู้เพิ่มหนึ่งคัน เป็นเครื่องดนตรีทั้งหมด เขาถามว่าทำไมต้องใช้ จริงๆ มันก็จำเป็น เรามีงานทุกวัน เราไม่สามารถไปซาวด์เช็กได้ทุกงาน เรามีทีมของเรามาถึงเซตอัพทั้งหมดของเรา ทุกอย่างมันคือของเรา ไม่ต้องไปปรับอะไรมาก ปรับตามเดิมได้ เราเดินทางไปถึงไปเล่น ก็ไปทำงานอย่างเดียวได้ ก็อธิบายเหตุผลไปทุกคนก็เข้าใจ แล้วเป็นมาตรฐานใหม่ว่า ถ้าเป็นงานที่เราไม่สามารถเข้าไปซาวด์เช็กได้จริงๆ มันต้องใช้วิธีนี้ครับ”

“ตอนนั้นข้อความทางลบเราไม่ใส่ใจเลย เชื่อว่าทุกคนไม่ได้เก็บมาใส่ใจ มันก็เป็นผลดีนะ ที่เราไม่เก็บมาใส่ใจ ถ้าเก็บมาใส่ใจเราก็จะแบบไปต่อว่าเขาตรงนั้น มันก็ยิ่งเป็นผลร้าย มันก็ยิ่งแย่ ในช่วงเวลานั้น ทุกคนก้เข้าใจได้ สิ่งที่เราทำ เรามีเหตุผลจริงๆ จากวันนั้นจนวันนี้ ต้องบอกว่า สบายเลยครับ ทำอะไรผมไม่ได้แล้วครับ (ยิ้ม) 19 ปีของผมที่ผ่านมา ผมจะไม่เสียกับตรงนี้เด็ดขาด โชว์จบอยากถ่ายรูปเชิญครับ ผมถ่ายหมดพร้อม แต่ว่าลงมา ผมขอพักสัก 10-15 นาที เช็ดเหงื่อ เช็ดหน้า เช็ดตาก่อนถ่ายรูป ทุกครั้งที่ไปคอนเสิร์ต ได้ถ่ายรูปกับผม ทุกคนไม่มีปัญหาเลย ได้หมด มาวันนี้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์จากมันเยอะ เราเลยหาตรงกลางมากกว่า เพื่อให้งานของเรามันเดินต่อไปได้”

ตอนนี้มีศิลปินเกิดใหม่มากมาย คู่แข่งเยอะขึ้น กังวลกับตรงนี้ไหม
ฟลุ๊ค : “มันอยู่ตลอดแหละครับ แต่ว่าแต่ละกลุ่มมันก็มีของกลุ่มแต่ละกลุ่มไป โชคดีที่เรายังมีคนชื่นชอบ ยังมีคนคิดถึงเพลงเราอยู่ ตลอดเวลาที่หายจากหน้าสื่อไป ไม่มีซิงเกิ้ลปล่อยมา ก็ยังทัวร์คอนเสิร์ตอยู่เรื่อยๆ ครับ ยังเจอกับทุกคนอยู่เรื่อยๆ เรียกว่ามีกลุ่มของเราอยู่ ถ้าเป็นฟีลแบบว่าเวทีกลางแจ้ง งานประจำปีจังหวัด อย่างนี้เราเข้าไปไม่ได้นะ จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ๆ แล้วก็เป็นศิลปินใหม่ๆ ที่ก้าวเข้ามา แล้วทุกคนชื่นชอบ เหมือนเราเนี่ย ถ้าให้เราไปขึ้นงานกาชาด ตอนนี้เด็กๆ ไม่รู้แน่นอน เราก็จะเป็นผับ ร้านอาหารมากกว่า ที่แบบว่านั่งทานข้าว คุยได้ ก็จะเป็นกลุ่มที่โตมากับเรา ตอนนี้ก็อาจจะ 20 ปลายๆ 30 ปลายๆ ก็คู่ๆ กันมา แต่ละร้านเราก็จะทราบว่า ร้านเป็นช่วงเวลานี้ ช่วงอายุนี้ก็ เราไปลงได้ครับ แต่ถ้าเป็นน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ก็จะเป็นกลุ่มของน้องๆ เขาครับ”

อย่างในเซคชั่นคุณพ่อ ครอบครัว ความรัก ตอนนั้นปรับตัวยากไหม
ฟลุ๊ค : “ผมเป็นแรกๆ เลยมั้ง ที่ออกมาเปิดให้ทุกคนได้รู้ด้วยตัวเอง เราไม่ใช่แบบว่า ผมไม่ใช่ดารา ไม่ใช่ดาราที่ต้องแสดงละคร หรือว่าเป็นกลุ่มแบบว่าบอยแบนด์หน้าตาดีๆ ก็เลยตัดสินใจเปิดออกมา เพราะว่าตอนนั้นที่มีเฮียรู้เรื่องหมดทุกอย่าง ผมบอกหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ว่าแฟนท้องปุ๊บ ผมก็ต่อสายตรงหาเฮีย บอกเฮียมีแฟน แฟนผมท้องนะ เฮียก็ให้กำลังใจดีมาก บอกว่ามันก็เรื่องธรรมดา ไม่เห็นเป็นไรเลย ยุคสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เฮียพูดแบบนั้นก็สบายใจขึ้น พอโตได้สักระยะหนึ่ง พร้อมที่จะบอกทุกคน ตอนนั้นคนโตก็อายุประมาณขวบแล้วครับ มีคนรู้มากขึ้น มีคนถามมากขึ้น แต่เราก็ไม่ได้ปิด คนที่อยู่ละแวกบ้านก็จะเจอบ่อย ผมก็จะพาลูกเดินเล่น นั่งรถเข็นไป เขาก็จะมาเล่นด้วย เราก็ไม่ติดอยู่แล้ว จนแบบว่า พอสื่อรู้มากขึ้น มีข่าวมากขึ้น เราก็เลยประกาศให้ทุกคนได้รู้ พอหลังผม ก็จะมีคู่รักดาราออกมาเปิดเผยกันเยอะมาก แต่งงานกันเยอะพอสมควร มันก็เป็นยุคแรกๆ ที่โชคดีด้วย ที่กลุ่มของเราเข้าใจ เพราะว่าเราเป็นศิลปินเป็นวง ไม่ใช่คีพแฟนคลับขนาดนั้น”

ตอนนั้นหลายคนก็มีเนอะ บางคนที่มี บอกว่าเหมือนบอกไปอาจจะเสียบางอย่าง เสียอะไรไป ทางพี่กลัวไหม

ฟลุ๊ค : “ถ้าไม่บอกจะยิ่งเสียครับ ยิ่งไม่บอก สมมุติว่าโตมาแล้ว ทุกวันนี้มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าถ้าย้อนกลับไป 15 ปีที่แล้วก็ มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่พอสมควร แล้วเราก็ได้กระชากหน้าหนึ่งมาอยู่กับเรา แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสครับ ทุกคนเข้าใจ วันแถลงข่าว ทุกสื่อก็ไป จริงๆ ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว เขาก็ไม่ได้คิดที่จะเอามีตีข่าวครับ”

แฟนคลับก็อยู่กับพี่ทุกๆ ช่วงจริงๆ จริงๆ เป็นยังไงบ้างกับครอบครัวไอน้ำ
ฟลุ๊ค : จริงๆ แฟนคลับบางกลุ่มก็รักมากครับ ทุกวันนี้ก็ยังเจอกัน เขาเรียกว่ามันซัพพอร์ตมากกว่า แฟนคลับกลายเป็นครอบครัว เป็นเพื่อนกันไปแล้ว บางคนบางกลุ่ม ล่าสุดจะบอกว่าฮาไหม มันก็สนุกดี ผมจะออกมาโพสต์อยู่เหมือนกัน ทุกคนแบบว่า จูงลูกมาถ่ายรูปแล้วอ่ะ ก็น่ารักดีครับ โตไปด้วยกันครับ ยังไงก็ฝากติดตามผมไปนานๆ นะครับ”

แหม…เราได้เห็นมุมมองและประสบการณ์มากมายจากหนุ่มฟลุ๊คจริงๆ ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่า มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิตตอนที่โด่งดังสุดขีด แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเข้าใจวัฏจักรของมันมากขึ้น ซึ่งทำให้เราเรียนรู้ เข้าใจ และก้าวต่อไปนั่นเอง


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย “yimyim”