อย่างไรก็ตาม กับกรณีทุนจีนสีเทา กับคนจีนที่เข้ามาทำผิดกฎหมายในไทย ตรงไหนผิดก็ว่ากันไปตามผิดตรงไหนทำไม่ดีก็ต้องมีการจัดการเด็ดขาด แต่ถึงกระนั้นก็มิควรจะเกลียดแบบเหมารวม เพราะต้องไม่ลืมว่า…คนไทยและคนจีนมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาช้านาน โดยเฉพาะกับ “คนจีนโพ้นทะเล” ที่มาลงหลักปักฐานในไทย…
เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญช่วยพัฒนาไทย
เป็นอีกฟันเฟืองที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ
มุมดีมุมนี้ “สังคมไทยก็ต้องให้เครดิต” …
ทั้งนี้ กรณี “คนจีนโพ้นทะเลในไทย” นั้น วันนี้ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูลวิชาการ “กรณีศึกษาผู้อพยพคนจีนในไทย” ที่ได้มีการอพยพย้ายถิ่นมาลงหลักปักฐานในประเทศไทย ซึ่ง “มีวิวัฒนาการน่าสนใจ” นั่นคือจากเดิมที่เป็น “จีนโพ้นทะเลรุ่นเก่า” ก็พัฒนามาสู่การเป็น “จีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่” ที่มีเป้าหมาย และโดยเฉพาะรูปแบบการอพยพย้ายถิ่นที่เปลี่ยนไป โดยเรื่องนี้ถูกสะท้อนเอาไว้ผ่านบทความวิชาการโดย หม่า เทา สาขาภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและสาละวินศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมีการเผยแพร่ไว้ผ่านเว็บไซต์ของทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ช่วยทำให้สังคมไทยได้เข้าใจ ได้เห็นภาพวิวัฒนาการของคนจีนที่ย้ายถิ่นมาอยู่ในประเทศไทย
เกี่ยวกับงานวิชาการ-งานวิจัยดังกล่าว ได้มีการระบุถึงวัตถุประสงค์ของการทำวิจัยไว้ว่า…มีเป้าหมาย เพื่อทำความเข้าใจในพลวัตของการอพยพย้ายถิ่น เพื่อศึกษาลักษณะการดำรงชีวิตของคนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ในสังคมไทย โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 หรือตรงกับปี พ.ศ. 2523 แบบเจาะลึก จำนวน 22 ราย ในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และเชียงราย เนื่องจาก “คนจีนโพ้นทะเล” ถือเป็นคนต่างชาติกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสังคมไทย โดยมีประมาณการว่า…ในจำนวน คนจีนโพ้นทะเลทั่วโลกกว่า 45 ล้านคน นั้น…
จีนโพ้นทะเลในไทยมีมากถึง 7 ล้านคน
โดยที่เป็น “รุ่นใหม่” มีกว่า 3-4 แสนคน
สำหรับกลุ่ม “จีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่” ทางผู้จัดทำงานวิชาการชิ้นนี้ได้ระบุไว้ว่า…เป็นกลุ่มคนจีนที่อพยพออกจากประเทศจีนหลัง ค.ศ. 1979 หรือหลัง พ.ศ. 2522 โดยจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างคนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่จำนวน 22 ราย ได้ให้ข้อมูลว่า… ภูมิลำเนาเดิมในจีน นั้น คนจีนกลุ่มนี้มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในเมืองต่าง ๆ จาก 10 มณฑล รวมถึงเมืองที่ปกครองโดยรัฐบาลส่วนกลาง ได้แก่ จี๋หลิน, ปักกิ่ง, เทียนจิน, เซี่ยงไฮ้, ซานตง, หูเป่ย, หูหนาน, กวางตุ้ง, กวางสี และยูนนาน
ขณะที่ สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ของคนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ในไทย พบข้อมูลซึ่งจำแนกออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ ได้ดังนี้คือ… ระดับการศึกษา พบว่า…มีทั้งกลุ่มที่ไม่จบการศึกษา ม.6 จนถึงเรียนจบปริญญาตรี โดยผู้ที่จบปริญญาตรีมีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63.6, อาชีพในจีน พบว่า…เดิมคนจีนอพยพกลุ่มนี้มีอาชีพเดิมที่หลากหลาย แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.เคยทำงานในหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ 2.เคยเป็นผู้ประกอบการขนาดกลาง หรือเป็นนักวิชาชีพ 3.เป็นคนงาน หรือเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบ โดยมีสถานภาพทางสังคมระดับล่าง …นี่เป็นผลสำรวจ “คนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ในไทย”
นอกจากนี้ ยังพบว่า… ฐานะทางการเงิน ของกลุ่มคนจีนโพ้นทะเลที่อพยพออกจากจีนก่อนปี ค.ศ. 2000 หรือ พ.ศ. 2543 นั้น ส่วนมากมีฐานะการเงินไม่ค่อยดีนัก ขณะที่กลุ่มที่อพยพมาหลัง ค.ศ. 2000 หรือหลัง พ.ศ. 2543 จะแตกต่างไป โดยส่วนใหญ่มักจะมีเงินทุนติดตัวมาในจำนวนที่เพียงพอต่อการลงทุนทางธุรกิจ ซึ่งจีนโพ้นทะเลกลุ่มหลังนี้ มักมีการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางในการที่จะเข้ามาลงทุนในไทยก่อนจะออกเดินทางมา หรือไม่ก็มีการลงทุนเพื่อยกระดับการศึกษาให้กับตัวเองมาก่อน …นี่เป็น “วิวัฒนาการคนจีนโพ้นทะเลในไทย” คนจีนที่อพยพเข้ามาในไทยทั้งก่อนและหลังปี ค.ศ. 2000
ส่วน สาเหตุที่อพยพมาไทย นั้น ผลศึกษาพบว่า… ปัจจัยที่ทำให้คนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ตัดสินใจย้ายถิ่นมาประเทศไทย สามารถสรุปเป็น 4 ประการ ดังนี้คือ… 1.มีประสบการณ์เชิงลบขณะที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน 2.ถึงทางตันในโอกาสพัฒนาเมื่ออยู่ในจีน 3.ด้อยโอกาสในการแข่งขัน และ 4.ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับตัวเอง …นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนจีนกลุ่มนี้ตัดสินใจ “มาเปลี่ยนชีวิตในประเทศไทย” ในฐานะเป็น “คนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่”
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของบทความวิชาการดังกล่าวข้างต้นได้มี ข้อสังเกต 2 ประการ คือ… ประการแรก…พลวัตสำคัญที่ขับเคลื่อนทำให้เกิดการอพยพของคนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่นั้น มีสาเหตุจากสถานะทางสังคมที่มีช่องว่างเหลื่อมล้ำ หรือเกิดจากการที่จีนปฏิรูปเศรษฐกิจกับมีการเปิดประเทศมากขึ้น และอีกประการ…เกิดจากลักษณะชีวิตของคนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ ที่เป็นคน มีความรู้และมีเงินทุนในระดับหนึ่ง จึงอยากออกมาแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ นอกประเทศ ซึ่งปัจจัยหลังนี่เองที่ทำให้…
“เติมภาพจำ” กลุ่มชีวิต “จีนโพ้นทะเล”
จากที่ “มาไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ”
“รุ่นใหม่” กลายเป็น “มาพร้อมทุน”.