ช่วงเวลา ณ ตอนนี้ที่ประเทศไทยกำลังเจอมรสุมอย่างหนัก ทั้งเรื่องการเมืองและโรคระบาดที่ไม่มีวี่แววว่าสถานการณ์จะดีขึ้นสักที เชื่อว่าคนไทยหลายๆ คนน่าจะต้องการแรงใจ กำลังใจ แรงบันดาลใจ ในการต่อสู้กับชีวิตมากเป็นพิเศษ ไหนจะเรื่องนอกประเทศอย่าง การบุกยึดอัฟกานิสถานของกลุ่มตาลีบันอีก ที่บั่นทอนสภาพจิตใจของพวกเราเพิ่มเติม
ดููอะไรดีจึงขออาสานำเสนอซีรีส์ญี่ปุ่นสาย Feel Good ที่ดัดแปลงมาจากมังงะ (หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น) นั่นก็คือ “Kotaro wa Hitorigurashi” หรือ “โคทาโร่อยู่บ้านคนเดียว” (KOTARO LIVES ALONE) ให้ทุกคนได้ไปหาดูกันเพื่อจรรโลงจิตใจได้ที่ Netflix
“โคทาโร่อยู่บ้านคนเดียว” เป็นเรื่องราวของเด็กชายวัย 5 ขวบชื่อว่า “ซาโต้ โคทาโร่” (รับบทโดยดาราเด็กชื่อดัง คาวาฮาระ เอโตะ) ที่ชอบพกดาบซามูไรปลอมไปไหนมาไหนด้วยตลอด ความน่ารักของน้องไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เพราะการพูดจาที่เลียนแบบอนิเมะแนวซามูไร กับชีวิตประจำวันที่ดูจริงจัง มีระบบระเบียบแบบแผน หรือเรียกว่ามีวินัยกับตัวเองสุดๆ ทำให้ใครเห็นก็ต้องรู้สึกเอ็นดูเจ้าหนูคนนี้ ขณะที่เพื่อนบ้านหนุ่มผมทอง “คาริโนะ ชิน” (รับบทโดย โยโกยามะ ยู) นักเขียนการ์ตูนที่กำลังหมดไฟ เพิ่งสังเกตเห็นว่าในอพาร์ทเมนต์ 2 ชั้นที่เขาเช่าอยู่นั้น เพื่อนบ้านข้างห้องกลับกลายเป็นเด็กน้อยที่มาเช่าอาศัยอยู่เพียงลำพัง ด้วยความหวังดี “ชิน” จึงมักจะคอยช่วยเหลือ “โคทาโร่” เวลาเดินทางไปไหนมาไหน ราวกับเป็นพี่ชายคนหนึ่ง แต่เรื่องราวของสองพี่น้องดูจะไม่ง่ายแบบนั้น เพราะในแต่ละ EP ก็จะมีตัวละครอื่นๆ เข้ามาพัวพันกับชีวิตพวกเขา จนทำให้เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายสไตล์น่ารักน่าชังขึ้นมากมาย…!!
ความโดดเด่นของซีรีส์ Feel Good เรื่องนี้ ก็คือบทที่มักจะส่งเสริมให้ผู้ใหญ่มีมุมมองเปิดรับความคิดอ่านของเด็กดูบ้าง บางครั้งความคิดแบบเด็ก ๆ ก็ใช่ว่าจะใช้การไม่ได้ หากลองนำมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นได้ทันตาเห็น อย่าลืมว่าเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว ใสบริสุทธิ์ จริงใจ ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ซึ่งจุดนี้เองที่ผู้ใหญ่ควรจะให้ความสำคัญ และซีรีส์เรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการให้ “เจ้าหนูโคทาโร่” เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนฉุกคิดได้ กับการที่เขามีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย จนบางครั้งดูเหมือนจะเป็นผู้ปกครองของ “ชิน” ด้วยซ้ำ หรือหลาย ๆ ครั้งที่โคทาโร่เข้าไปปลอบประโลมผู้ใหญ่ทั้งหลายที่จิตใจกำลังบอบช้ำจากการต่อสู้กับโลกอันโหดร้าย
นอกจากนี้ ตัวเนื้อหาซีรีส์ยังสะท้อนถึงปัญหาของครอบครัว และปัญหาของเด็กๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งแก้ไขได้ด้วยความคิดเชิงบวก อย่างเช่น การอยู่คนเดียวของเด็กไม่ใช่เป็นเรื่องน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ การเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตของคนอื่นจนทำให้เขาไม่สงบสุข ดังนั้น จึงต้องอาศัยการเจรจา การไว้เนื้อเชื่อใจกัน และรับฟังความคิดอ่านของแต่ละคน ซึ่ง “โคทาโร่” มักจะมีบทพูดที่ทำให้ผู้ใหญ่ต้องฉุกคิดได้เสมอ
ด้านบทบาทการแสดงระหว่าง “คาวาฮาระ เอโตะ” ที่รับบท “โคทาโร่” กับ “โยโกยามะ ยู” ที่รับบท “ชิน” ปรากฎว่าทั้งคู่มีเคมีที่เข้ากันเป็นอย่างมาก ทำให้ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมากจากเหล่านักวิจารณ์ตามเพจหนังและเว็บไซต์ต่าง ๆ มีมุกรับส่งโบ๊ะบ๊ะให้ผู้ชมได้ยิ้มตลอดๆ
ขณะเดียวกันเรื่องนี้ยังมีดาราแม่เหล็กอย่าง “ยามาโมโตะ ไมกะ” ที่มารับบทเป็นผู้เช่าห้องสาวสวย “อากิโตะโมะ มิซึกิ” อีกด้วย เพียงแต่บทของเธอไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ และยังดูมีความลึกลับซับซ้อน หรือมีเบื้องลึกเบื้องหลังราวกับสาวปริศนามากกว่า และหากจะให้จับคู่เคมีของพระ-นางระหว่าง “ชิน” กับ “มิซึกิ” อันนี้ความเห็นส่วนตัว ดูยังไงก็ไม่น่าเข้ากันได้ แต่ก็ต้องขอปรบมือให้ฝ่าย “คอสตูม” ที่จัดการเนรมิตรทั้งสองคนให้ดูมีวัยไล่เลี่ยกันได้ (ความจริงคือฝ่ายชายอายุ 40 ปี ฝ่ายหญิงอายุ 26 ปี)
มั่นใจได้เลยว่า ใครที่ดูซีรีส์เรื่องนี้จบจะต้องได้รับพลังด้านบวกแน่ ๆ แต่ก็ต้องย้อนกลับมาถามว่า “….หากชีวิตจริงคุณไปเจอเด็กอายุเพียง 5 ขวบ ต้องเช่าห้องอยู่เพียงลำพัง คุณพร้อมจะเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือหนูน้อยผู้นี้ จนกว่าเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือไม่?… หรือคุณคิดเพียงแต่จะโยนภาระให้ภาครัฐรับไปดูแลเท่านั้น…”.
ภาณุพงศ์ ส่องสว่าง