ว่ากันว่าหลังกลับมาจากเบรกฟุตบอลโลก ทุกสโมสรจะเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนเบรกไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นไปในทางดีหรือทางลบก็ตาม

ทีมที่ดีอยู่ อาจจะทำผลงานได้ไม่เท่าเดิม ทีมที่แย่มา อาจจะเริ่มฟื้น เพราะช่วงเวลา 1 เดือนเต็มของศึกเวิลด์ คัพ นั้น มีปัจจัยมากมายที่แต่ละทีมไม่อาจควบคุมได้

ลิเวอร์พูล ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน …

ก่อนเบรกฟุตบอลโลกนั้น ลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ชนะ 2 เกมติดต่อกัน และหลังจากกลับมาจากศึกเวิลด์ คัพ พวกเขาก็ชนะในเกมลีก 2 นัดติดเช่นกัน

อ้าว แล้วมันต่างจากช่วงก่อนเบรกยังไง? ความแตกต่างที่เห็นชัดคือมาตรฐานเกมของ “หงส์แดง” ดร็อปลงไปชัดเจน หลังเวิลด์ คัพ ทั้งเกมที่พวกเขาบุกชนะ แอสตัน วิลลา รวมถึงเกมเชือด เลสเตอร์ ซิตี นั้น ลิเวอร์พูล ชนะแบบกระเสือกกระสนสิ้นดี และสุดท้าย พวกเขาก็มาโดนจนได้ในเกมเยือน เบรนท์ฟอร์ด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

ในเกมที่ จีเทค คอมมิวนิตี สเตเดี้ยม นั้น จะว่าไป หนึ่งในปัจจัยของความพ่ายแพ้ อาจเป็นเรื่องของโชค เพราะในครึ่งแรก หากลูกยิงของ ดาร์วิน นูนเญซ ไม่โดน เบน มี สกัดออกมาจากเส้นประตู หรือลูกยิงของ คอสตาส ซิมิคาส ที่ต้องใส่สกอร์แน่ ๆ ไม่โดน ดาวิด รายา ปัดออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ลิเวอร์พูล ก็จะขึ้นนำ และรูปเกมก็ “อาจจะ” ออกมาเป็นอีกแบบ

แต่ถ้าดูกันจริง ๆ หนึ่งในปัจจัยสำคัญของความพ่ายแพ้ในเกมนี้ คือเรื่องความปวกเปียกของเกมรับ และสมาธิที่ดูเหมือนจะเล่นแบบ “ใจลอย” กันยกแผงมากกว่า

เอาง่าย ๆ ว่าหลังจากเสียประตูแรกแบบโชคร้าย (บอลตกใส่ขา อิบราฮิมา โกนาเต เข้าประตูตัวเอง) หลังจากนั้น “หงส์แดง” ก็เหมือนคนวิญญาณออกจากร่าง มีอย่างที่ไหนที่ เบรนท์ฟอร์ด ได้เตะมุม 2 ครั้งในเวลาห่างกันไม่นาน และ โยอัน วิสซา กองหน้าเจ้าถิ่นก็ส่งบอลไปกองก้นตาข่ายได้ทั้ง 2 ครั้ง ยังดีที่ วีเออาร์ ช่วยริบคืนไปทั้ง 2 ครั้ง และหลังจากนั้นไม่นาน วิสซา เจ้าเก่าก็ได้ยืนโขกเน้น ๆ เป็นประตู 2-0 จนได้

เป็นไปได้ยังไงที่เกมรับของ ลิเวอร์พูล จะหละหลวมและขาดสมาธิขนาดนั้น และมันก็เป็นที่มาของการถอด เฟอร์จิล ฟานไดค์ ที่ดูหลุดฟอร์มอย่างหนักออกตั้งแต่ช่วงพักครึ่ง ซึ่งถือเป็น “ของหายาก” เป็นภาพที่เราแทบจะไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ

ครึ่งหลังออกตัวมา ขุนพล “หงส์แดง” ที่น่าจะได้รับการกระตุ้นมาอย่างหนัก เปิดฉากบี้เจ้าถิ่นอย่างหนัก นูนเญซ หลุดไปกระดกข้าม รายา ตุงตาข่าย แต่โดนวีเออาร์จับล้ำหน้า เรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง (ถ้าใครสังเกตุตอนครึ่งแรกที่โดน เบน มี สกัดจากเส้น สีหน้าของดาวยิงอุรุกวัยดูท้อแท้ต่อโชคชะตาเหมือนกันนะครับ ยิงยังไงก็ไม่เข้า) หลังจากนั้นไม่นาน อเล็กซ์ อ็อกซเลด-แชมเบอร์เลน โขกประตูฉลองการเล่นพรีเมียร์ลีกเกมที่ 100 ให้ทีมไล่มาเป็น 1-2 เวลาเหลืออีกพอสมควร แฟน “หงส์แดง” นาทีนั้นน่าจะมองว่ามีลุ้นถึงขั้นแซง

แต่หลังจากนั้นพวกเขาดันกลับเข้าอีหรอบเดิม เกมรับเล่นเหมือนใจลอย โดนสวนทีไรขาสั่นทุกที สุดท้ายก็โดนลูก 3 จนได้จาก ไบรอัน เอ็มเบอูโม ที่ชน โกนาเต จนเสียหลักก่อนยิงตุงตาข่าย

พูดถึง โกนาเต นี่น่าจะเป็นเกมที่เขาอยากลืม ลูกแรกสกัดเข้าประตูตัวเอง ลูก 2 ประกบพลาดโดน วิสซา โหม่งโล่ง ๆ ลูก 3 ก็โดน เอ็มบูเอโม ชนจนเสียจจังหวะอีก เรียกว่ามีส่วนต่อการเสียประตูทั้ง 3 ลูก

แต่ถ้าจะโทษ อาจต้องโทษเกมรับทั้งแผงมากกว่า 3 ลูกที่เสียไปในเกมนี้ ทำให้ซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล โดนยิงในลีกไปแล้วถึง 22 ลูกจาก 17 นัด มากกว่าซีซั่น 2018-19 ทั้งฤดูกาลไปแล้ว และมากกว่าคู่อริร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน ที่เพิ่งเสียไปแค่ 21 ลูกเสียอีก

และที่สำคัญ นี่เป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล โดนคู่แข่งยิงนำก่อน และสุดท้ายก็ไม่สามารถกลับมาได้ มันอาจจะมีบ้างที่โดนก่อนแล้วกลับมาได้ แต่นั่นมันหมายความว่าทีมต้องทำงานยากกว่าที่ควรจะเป็น และบ่อยครั้งกว่าที่ไม่สามารถกลับมาชนะได้ ดังเช่นที่สถิติออกมาว่า “หงส์แดง” ไม่เคยกลับมาชนะหากตามคู่แข่ง 2 ลูกตั้งแต่ครึ่งแรก มาตั้งแต่ปี 2008 โน้นแล้ว ชัดเจนว่านี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความปวดเศียรให้กับ เจอร์เกน คลอปป์ ในซีซั่นนี้

ก่อนเกมนี้ คลอปป์ เพิ่งให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ลิเวอร์พูล อาจไม่ซื้อใครเพิ่มอีกแล้วในช่วงตลาดหน้าหนาวนี้ หลังได้ โคดี กัคโป มาแล้ว

แต่การได้ กัคโป อาจเป็นการแก้ปัญหาในเกมรุก แต่มันน่าจะไม่ใช่ปัญหาที่เร่งด่วนเท่ากับปัญหาในเกมรับ

และแต่เท่าที่เห็นในเกมนี้ คลอปป์ อาจต้องคิดใหม่เสียแล้วล่ะมั้ง…