ก้าวเข้าสู่ปีใหม่!! อย่างเป็นทางการ หลังจากปีที่แล้ว…ที่คนไทยทั่วประเทศต้องเผชิญวิบากกรรมกับการใช้ชีวิตมาอย่างหนักหนาสาหัส ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยังเออเร่อจากผลพวงสารพัดปัจจัยจากทั่วโลกและปัจจัยในประเทศ

มาปีนี้ปีเถาะ คนไทยทั่วประเทศก็ยังไม่พ้นที่ต้องแบกรับภาระ ต้องผจญชะตากรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะหลายสำนักวิจัยต่างฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่าแม้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก

แม้ก่อนหน้านี้ จะมีข่าวดีอย่างการ “ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” เฉลี่ยอยู่ที่ 337 บาท หรือปรับขึ้นเฉลี่ย 5.02% ให้แช่มชื่นกันไปบ้างแล้วในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

รวมทั้งข่าวดีของคนที่ถือ บัตรคนจน 13.2 ล้านคน ที่รัฐบาล “ลุงตู่” ได้ตัดสินใจวินาทีสุดท้ายควักเนื้อโดยใช้งบกลางกว่า 2,640 ล้านบาท เพิ่มเงินให้เงินอีกคนละ 200 บาทอีก 1 เดือน เพื่อเป็นเอาไว้ใช้จ่ายซื้อของกินของใช้ในเดือน ม.ค.นี้

การขึ้นค่าแรงครั้งนี้ ก็มีผลตามมาด้วยราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ก็ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แม้ต้นทุนค่าแรงอาจเป็นต้นทุนเพียงน้อยนิด แต่โดยธรรมชาติของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าแล้วไม่ได้ปรับขึ้นตามสัดส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารตามสั่ง อาหารจานด่วน กลับขึ้นทีละ 5 บาท 10 บาท แล้วก็ไม่มีลดราคาลงด้วยอีกต่างหาก

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า…ทุกวันนี้ เงิน 100 บาท หากซื้ออาหารนอกบ้านรับประทาน บางครั้ง บางสถานที่ บางย่าน อาจทานไม่พอกับ 1 มื้อด้วยซ้ำ

ไม่ใช่เพียงแค่อาหารตามสั่ง อาหารจานด่วน เท่านั้น ลองดูสินค้าทุกชนิดขึ้นราคาทั้งนั้น ไม่ว่าจะของสดหรือของแห้ง!! ซึ่งจะยังคงเป็นต้นทุนชีวิตที่เพิ่มขึ้นของคนไทยต่อไปอีกเช่นกัน

นอกจากราคาอาหารแล้ว ยังตามมาด้วย ราคาพลังงาน แม้เวลานี้ภาครัฐยังตรึงค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือนงวดใหม่ตั้งแต่ ม.ค.-เม.ย.66 ไว้ก่อนที่หน่วยละ 4.72 บาท และยังขึ้นค่าไฟภาคเอกชน เพียงแค่หน่วยละ 5.33 บาท จากเดิมที่ต้องขึ้นมาที่ 5.69 บาท แต่เมื่อพ้นจากเดือน เม.ย.66 ไปแล้ว ใครจะการันตีได้ว่าคาไฟจะไม่ปรับขึ้นอีก!!

ที่สำคัญ!! ค่าไฟภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น เชื่อเถอะ!! สุดท้ายหนีไม่พ้นประชาชนคนไทยต้องเป็นคนแบกรับผ่านค่าสินค้าที่เพิ่มขึ้นอยู่ดีนั่นแหล่ะ เช่นเดียวกับ ค่าก๊าซเอ็นจีวีสำหรับรถยนต์ ที่ปรับขึ้นไปแล้ว กก.ละ 1 บาท จาก 16.59 บาท เป็น 17.59 บาท จนถึง 15 มี.ค.66 ก็ต้องมาลุ้นกันอีกว่าจะขึ้นอีกเท่าใด?

หรือ…แม้แต่ ค่าก๊าซหุงต้ม ที่ภาครัฐยอมตรึงราคาให้ที่ถัง 15 กก.ที่ 408 บาทไปจนถึง 31 ม.ค.นี้เท่านั้น นี่แค่เพียงเรื่องปัญหาปากท้องในแต่ละวัน

ยังมีเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่!! อย่างใครที่เป็นหนี้เป็นสิน…กู้เงินแบงก์มาจะใช้ทำอะไรก็ตามทีเถอะ แต่ในปีนี้ ก็เตรียมแบกรับภาระดอกเบี้ยขึ้นได้เลย

เพราะ…สมาคมแบงก์ได้ออกมาประกาศแจ้งสิ้นสุดมาตรการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กลับเข้าสู่อัตรา 0.46% ต่อปี ตั้งแต่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา

นั่น!! หมายความว่าธนาคารพาณิชย์ต้องทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.4% ต่อปี เช่นกัน และที่ผ่านมาแบงก์ใหญ่หลายแบงก์ก็ได้ออกประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นอีก 0.40% โดยมีผล 3 ม.ค.นี้ เป็นต้นไป

ไม่เพียงแค่ดอกเบี้ยเท่านั้นนะ ที่แพงขึ้น ปรากฏว่าบรรดา “แมลงเม่า” ที่ชอบลงทุนในตลาดหุ้น ก็ต้อง เสียภาษีจากการขายหุ้นในสัดส่วน 0.11% ในรอบ 30 ปีอีกครั้ง โดยรัฐบาลเค้าจะเก็บก่อน 0.055% แล้วค่อยไปจัดเต็มในปี 67 เรียกว่าจะขายแบบขาดทุนหรือขายแบบฟันกำไร ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าภาษี

หันมาที่บรรดาเจ้าของที่ดิน!! เจ้าของที่อยู่อาศัย…ที่ก็ต้องควักเนื้อเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน เพราะกรมธนารักษ์ได้ประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ โดยเฉลี่ยราคาประเมินที่ดินจะเพิ่มขึ้น 8.93% ส่วนสิ่งปลูกสร้าง เพิ่มขึ้นประมาณ 6.21% ทำให้การคิดค่าธรรมเนียมการโอน หรือการจดจำนอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ต้องปรับเพิ่มขึ้นไปด้วยตามราคาประเมิน และยังถูกนำมาใช้คำนวณการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีกต่างหาก

ที่สำคัญ…ในปีนี้ใครที่อยากมีบ้าน คงต้องคิดหนักเพราะไม่ใช่เพียงแค่ราคาประเมิน ค่าโอน แล้ว ราคาที่อยู่อาศัยก็ยังแพงขึ้น!! ตามต้นทุน ทั้ง ดินหินกรวดทราย รวมไปถึงราคาที่ดิน ราคาพลังงาน ดอกเบี้ยขาขึ้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการขับขี่รถยนต์ที่ในวันที่ 9 ม.ค.นี้ ภาครัฐเค้าเตรียมนำระบบตัดแต้มผู้ขับขี่มาใช้ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งทางที่อาจทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

นี่เป็นเพียงบางส่วนของสารพัดเงื่อนไข สารพัดปัจจัย ที่ทำให้การใช้ชีวิตในปีเถาะ ยังคงมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น การ “มีสติ” จึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ดังนั้น!! ในปีนี้ เบาได้เบากันค่ะ

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”