ก้าวออกจากตู้ปลา สู่ทะเลกว้าง สำหรับ มิว-ลักษณ์นารา เปี้ยทา ที่ตอนนี้เป็นนักแสดงอิสระ และล่าสุดเธอกำลังท้าทายฝีมือการแสดงครั้งใหญ่ ด้วยการพลิกลุคมารับบทร้าย ยั่วเพศ สุดเซ็กซี่ในละคร “ดงดอกไม้” ทางช่องวัน 31 วันนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดพูดคุยมิวถึงบทบาทการแสดงครั้งนี้ พร้อมเปลือยชีวิตในวงการที่เธอต้องก้าวผ่านคำว่าบูลลี่เรื่องรูปร่าง และ “Beauty Standard” จนตอนนี้เธอรักรูปร่างตัวเองมาก และอยากส่งพลังบวกให้แบบนี้ให้คนที่ต้องเผชิญกับคำบูลลี่เช่นเธอ นอกจากนี้ยังเผยถึงความสำคัญของคนดังในการเป็นกระบอกเสียงให้สังคม และไม่พลาดอัพเดทเรื่องหัวใจ ที่แม้เธอจะเฮิร์ตหนักกับรักที่ผ่านมา แต่เธอยังคงเปิดใจ และมองหาคนที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน!

อะไรทำให้อยากมารับบท “บัวริน” ?

“ตอนแรกที่ได้รับการทาบทาม ก็ได้อ่านคาแรกเตอร์ รู้สึกว่าเป็นบทที่เราไม่เคยเล่น และอยากจะลองดูว่า ถ้าเรารับบทแบบนี้จะเป็นยังไง จะตีความได้ดีมั้ย และรู้สึกว่าท้าทายในสายอาชีพของมิว เราเป็นนักแสดง การได้เล่นหลายบทบาท ก็เป็นอะไรที่ดี เราจะได้มีข้อมูลเก็บไว้เยอะ ๆ เอาไปปรับใช้ได้ กับการทำงานในหลายบทบาท รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดี และเรารู้สึกอยากเล่น เพราะไม่เคยเล่นร้ายมาก่อน ก็ตอบตกลงแทบทันทีเลยหลังจากคาแรกเตอร์จบค่ะ”

คาแรกเตอร์ “บัวริน” เป็นยังไง และทำการบ้านสำหรับเรื่องนี้ยังไงบ้าง?

“สำหรับ ‘บัวริน’ มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าได้กล้าเสีย เป็นพวกรักแรงและเกลียดแรง สุดทุกอย่าง ซึ่งบทนี้เป็นบทที่มิวไม่เคยเล่นมาก่อน เลยทำการบ้านเยอะมาก เพราะตัว ‘บัวริน’ เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ยั่วยวนเพศตรงข้ามได้อย่างดี ซึ่งไกลตัวมิว เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความเซ็กซี่ขนาดนั้นค่ะ ก็ต้องทำการบ้านเยอะ อาจไปดูหนังที่คาแรกเตอร์คล้ายกับบัวริน”

เรื่องนี้มีเลิฟซีนมีมากน้อยแค่ไหน?

“เลิฟซีนแน่นมาก (ยิ้ม) ตอนอ่านเรื่องย่อ ก็ไม่คิดว่าเลิฟซีนจะแน่นขนาดนี้ พออ่านบทเต็มแล้วเลิฟซีนเยอะมากจริง ๆ 10 ตอนแรกก็มีแต่เลิฟซีนของ ‘บัวริน’ หมดเลย เราก็โอ้ มาย ก็อด! ถือว่าเป็นเลิฟซีนที่เยอะที่สุดในชีวิตการแสดง ทุกเรื่องที่มิวเล่น เอามารวมกันยังไม่เท่ากับเรื่องนี้เรื่องเดียว ส่วนสิ่งที่เราโฟกัสในการเล่นบทเลิฟซีน เพื่อถ่ายทอดความเป็นบัวรินมากที่สุด คืออย่างที่บอกว่าบัวรินกล้าได้กล้าเสีย ก็จะโฟกัสกับตรงนี้มากกว่า ว่าถ้าเป็นบัวรินจะยั่วยังไง เพราะบัวรินไม่ใช่ประเภทจู่โจมก่อน แต่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเข้ามาจู่โจมฉันสิจ้ะ สำหรับลิมิตรในการแสดงเลิฟซีน ก็เรียกว่าตามความเหมาะสม อาจไม่ได้ถอดจริง มันมีเรื่องของมุม แต่เรื่องของการกอดจูบก็ไม่ได้มีลิมิตอะไรค่ะ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ถ้าเราไม่ทำให้มันจริง เดี๋ยวนี้คนดูก็ฉลาดรู้ว่าเบื้องหลังละครเป็นยังไง แล้วมิวรู้สึกว่าการที่เราเล่นจริง ๆ ก็เป็นส่วนที่ทำให้คนดูอินไปกับเราง่ายขึ้นค่ะ”

การมารับบทร้าย และรับเลิฟซีเยอะแบบนี้ มันทำให้เราก้าวผ่านเซฟโซนหรือได้เรียนรู้อะไรจากการแสดงครั้งนี้บ้าง?

“จริง ๆ ได้เรียนรู้เยอะเลย ก่อนหน้าที่จะเปิดกล้อง มิวได้ไปเวิร์กช็อปกับนักแสดงที่จำเป็นต้องเล่นด้วยกันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพุฒ (พุฒิชัย เกษตรสิน) เพราะมิวเข้าซีนกับพี่พุฒเยอะมาก ก็ไป Breaking the ice กันก่อนว่านิสัย ตัวตนของเราและพี่พุฒเป็นยังไง เวลาเข้าฉากด้วยกันจะได้ไม่เขินมากเกินไป เป็นโอกาสที่ดีที่เราได้เรียนการแสดงด้วยค่ะ”

กลัวมั้ยว่ารับบทร้ายแล้วคนจะติดภาพ จนกลับไปรับบทนางเอกยาก?

“ก็เคยคิดนะคะ แต่ส่วนใหญ่คนที่กังวลเรื่องนี้จะไม่ใช่มิว แต่เป็นคุณพ่อคุณแม่มากกว่า ด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะเห็นข่าวว่าเล่นเป็นตัวร้ายแล้วไปเดินตลาด จะโดนแม่ค้า ปาข้าวของใส่ เขาก็กลัวแบบนั้นรึเปล่า (ยิ้ม) เราก็จะบอกว่านี่มันยุคไหนแล้ว ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ส่วนตัวมิวก็มีกังวลนิดนึง แต่ว่าเป้าหมายการแสดงของมิว ไม่ใช่การเป็นนางเอกไปตลอด แต่คือการได้แสดงในหลายบทบาท มิวรู้สึกว่าอาชีพนักแสดงมันไม่ควรไปจำกัดตัวเองว่าต้องเป็นแต่นางเอกหรือคนดี”

อยากให้แฟน ๆ ดู “ดงดอกไม้” แล้ว ได้อะไรกลับออกไป?

“มิวว่าเมสเสจที่ชัด ๆ เลยก็คงเป็นเรื่องความรัก เพราะเรื่องนี้มันสะท้อนเรื่องความรักที่ผู้ชายคนนึงมีให้ผู้หญิงหลาย ๆ คน กับผู้ชายคนนึงที่มีความรักให้ผู้หญิงเพียงคนเดียว มันเปรียบกันได้เลยว่ามันต่างกันยังไง และทุกอย่างก็จะเป็นไปตามผลของการกระทำของแต่ละคน ว่าสุดท้ายชีวิตจะลงเอยยังไง และก็น่าจะสะท้อนวิธีคิดของผู้หญิงหลาย ๆ แบบ ให้เห็นว่าในสังคมปัจจุบัน มันมีคนที่คิดแบบนี้จริง ๆ นักแสดงผู้หญิงแต่ละคน ก็เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิงแต่ละประเภทเลย ว่าเรามีวิธีคิดแบบนี้ จัดการปัญหาแบบนี้แล้วสุดท้ายสิ่งที่เราเลือก มันใช่สิ่งที่เราต้องการอีกมั้ย”

อยู่วงการมา 12 ปีแล้ว มองย้อนกลับไป ณ วันนี้เห็นความเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงของตัวเองยังไง?

“คงเป็นเรื่องความคิด ที่โตขึ้น ยอมรับอะไรได้ขึ้น และ ‘ช่างมัน’ กับอะไรได้ง่ายขึ้น โตไปตามวัยทั้งวุฒิภาวะ และอะไรหลาย ๆ อย่าง วงการนี้ก็สอนมิวเยอะเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่วงการบันเทิงสอนมิวชัดที่สุด คงเป็นเรื่องการวางตัวในแต่ละสถานการณ์ให้เหมาะสม วงการบันเทิงเป็นสนามทดสอบที่ดีมาก เพราะเราต้องเจอผู้คนที่หลากหลาย การวางตัวที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่ท้าทายอีกอย่างค่ะ”

นักแสดงย่อมคู่กับการโดนจับตามอง ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์หรือดราม่า วิธีรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา คืออะไร?

“ต้องมองก่อนว่าที่มาของดราม่านั้น มีความจริงมากขนาดไหน ถ้ามันเป็นความจริง เราทำจริง ๆ มันก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ ต้องยอมรับผลของการกระทำที่เราทำลงไป แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วมิวมีโอกาสได้ออกมาพูด ก็จะพูดฝั่งของมิวและขึ้นอยู่กับคนที่รับสารว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มิวไม่มีสิทธิ์ไปบังคับให้เขามาเชื่อ เรารู้สึกว่าถ้ามันไม่ใช่ความจริง เราแค่บอกกล่าว ก็ถือว่าเราได้ทำหน้าที่เราสมบูรณ์แล้ว ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะสุดท้ายเราอาจไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ เดี๋ยวคนก็ลืม มันเป็ยนเรื่องปกติ”

ตอนเด็ก ๆ มีคอมเมนต์ไหนมั้ย ที่รู้สึกทำร้ายจิตใจเรา?

“อย่างที่ทุกคนรู้ว่ามิวอาจไม่ใช่นักแสดงที่เป็นพิมพ์นิยมขนาดนั้น ไม่ได้หน้าเล็ก ตัวเล็ก มิวเป็นเด็กมีแก้ม ชอบกิน ก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเองอยู่ ตอนเด็ก ๆ ก็โดนเยอะเลย ไม่สวยเลย อ้วนจัง ตอนนั้นก็จัดการความรู้สึกด้านลบที่เข้ามาไม่ได้เลย (หัวเราะ) ก็คือนอยด์ เราไม่สวยเหรอ ไม่ดีเหรอ พอตอนนี้มาเจอคอมเม้นต์อะไรแบบนี้มันก็ไม่ชอบใจหรอก แต่ก็ไม่ได้นอยด์เหมือนกันตอนนั้น คงเพราะว่ามันเป็นสิทธิของเขาที่จะคอมเมนต์อะไรก็ได้ และก็เป็นสิทธิของเราเหมือนกันที่จะไม่เทคคอมมเนต์จากเขา เราก็แค่ไม่ต้องสนใจก็พอ แต่ถ้าอันไหนเป็นการติเพื่อก่อ อันนั้นเราก้รับฟังไว้ เช่น คอมเม้นต์เรื่องการแสดง เราก็รับรู้ไว้ว่าเราอาจยังเล่นได้ไม่ดีพอนะ เราก็พยายามคิดบวกเข้าไว้ บวกกับ ‘ช่างมัน’ เยอะ ๆ หน่อย อะไรที่ควรเทคก็เทค อะไรที่ไม่ควรเทค ก็ปล่อยมันไปดีกว่า”

เป็นอีกคนที่เป็นเหยื่อของการคำว่า “Beauty Standard (มาตรฐานความงาม)”?             

“ใช่ค่ะ มิวโดนเรื่องนั้นมาตลอด ด้วยความที่เป็นนักกีฬาก่อน ก็จะมีความไหล่กว้าง ล่ำ ๆ นิดนึง ไม่ได้ตัวเล็ก ทุกวันนี้ก็ยังโดนอยู่ ที่บอกว่าให้มิวไปลดน้ำหนัก ต้องผอมกว่านี้อีกนะ ถ้าเป็นเมื่อก็คงคิดว่าเราต้องผอมกว่านี้ แต่พอตอนนี้ เรารู้สึกว่าเราพอใจแล้ว ถ้าเรารู้สึกว่าอยากผอมกว่านี้ ก็ขอให้เป็นความรู้สึกที่เกิดจากเราเอง ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะคนอื่นมาบอกให้เราทำค่ะ”

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ “มิว” รักตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า หรือใครที่กำลังโดนเรื่องของ “Beauty Standard” มีอะไรที่อยากบอกเขาบ้างมั้ย ในฐานะที่เราเคยผ่านมันมาได้แล้ว?

“ช่วงนี้มิวแฮปปี้กับตัวเองมาก เพราะรักตัวเองมาก มิวรู้สึกว่ามิวได้ทำในสิ่งที่มิวอยากทำ คือการแสดงและมิวก็ชอบร่างกายตัวเองตอนนี้ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ต้องฝืนตัวเอง ให้ต้องทำ เพราะฉะนั้นถ้าใครที่กำลังประสบปัญญา หรือมีคนบูลลี่ ทักท้วงเรื่องหุ่น หน้าตา หรือร่างกาย อยากบอกว่าต้องถามตัวเองจริง ๆ ก่อนว่าคุณพอใจกับตัวเองมั้ย ไม่ต้องเอาความคิดของคนอื่นที่มาบอกว่าคุณไม่ดี เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ดี ถามตัวเองจริง ๆ ว่าเราแฮปปี้มั้ยกับร่างกาย หน้าตาของเรา ถ้ารู้สึกว่าไม่แฮปปี้จากตัวเองจริง ๆ ก็ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ารู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เราก็ชอบที่เป็นแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกว่ามันเดือดร้อนใคร ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะคนพวกนั้นเขาก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเราอยู่แล้ว เราก็ปล่อยไปเลย หรือถ้าเพื่อนมาทัก เพื่อนที่ดีจะไม่ทักแบบนี้เลย เวลาจะคอยคัดกรองคนให้คุณเองด้วยว่าควรคบหรือไม่คบคนแบบไหนค่ะ”

หลังจากออกมาเป็นนักแสดงอิสระ “มิว” มีวิธีเลือกรับงานยังไง เพราะก่อนหน้านี้ก็จะมีช่อง 3 คอยเลือกรับทให้?

“มิวโชคดีที่มีผู้จัดการที่ทำหน้าที่แทนช่อง ช่วยกรองให้ระดับนึง อันนั้นแรงไป ก็อาจต้องปฏิเสธไป เพราะยังไม่ถึงวัยเราที่เล่นได้ถึงขนาดนั้น ส่วนในแง่การแข่งขันก็สูงขึ้นแน่นอน ปกติมีช่องคอยซัพพอร์ท ก็การันตีอยู่แล้วว่าเราจะมีงานแน่นอน แต่พอตอนนี้เราเหมือนออกจากตู้ปลามาอยู่ในทะเล มันก็จะมีความที่นี่กว้างใหญ่เหลือเกิน ฉันต้องต่อสู้กับคนสวย ๆ ตั้งหลายคน มันก็เป็นอะไรที่สนุกอีกแบบ เมื่อก่อนเราอยู่ช่องจะเล่นเรื่องไหนสักเรื่อง เขาก็เลือกไปเลย พอเป็นนักแสดงอิสระก็ต้อไปแคสละครบ้าง ซึ่งมิวรู้สึกว่ามันแปลกใหม่แต่ดีนะ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าถ้าได้เล่นบทนั้นจริง ๆ มันจะเหมาะกับเรามั้ย เป็นการคัดกรองบทที่ดีที่สุดให้อีกทีนึงค่ะ ซึ่งข้อดีของการเป็นนักแสดงอิสระคือเราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากเล่นบทแบบไหน หรือว่ายังรับบทแบบนี้ไม่ได้ คุยกันได้ว่าเราไม่ไหวจริง ๆ กับบทนี้ค่ะ และไปได้หลายช่องมากขึ้น ก็เท่ากับว่าเรามีงานที่หลากหลายมากขึ้นด้วยค่ะ”

เป็นอีกคนที่ใช้ชื่อเสียงเป็นกระบอกเสียงในเรื่องต่าง ๆ ในสังคม ส่วนตัว “มิว” มองว่าคนดังสามารถใช้ชื่อเสียงของตัวเองเป็นกระบอกเสียงขับเคลื่อนเรื่องราวต่าง ๆ ในสังคม ได้ในมิติไหนบ้าง?

“มิวมองว่ามันสำคัญนะ ถ้าเทียบกับอาชีพ เราก็เหมือนคนที่มีแสงไฟสาดส่องตลอดเวลา ของมิวอาจไม่ใช่แสงที่ใหญ่มาก ถ้าเทียบกับนักแสดงคนอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงมากกว่ามิว มิวอาจป็นแค่แสงสปอร์ตไลท์เล็ก ๆ สัก 2-3 ดวง แต่มิวก็รูสึกว่าอย่างน้อย มิวมีพื้นที่ถ้าพูดอะไรไปก็มีคนฟังอยู่บ้าง และถ้าเราใช้ประโยชน์ตรงนี้ พูดสิ่งที่มันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมของเรา หรืออนาคตของเรา อนาคตของลูกหลานเรา มันก็ควรจะใช้มาก ๆ เลย มันเหมือนกรณีที่พอมีคนตกน้ำ เราอาจว่ายน้ำไม่เป็น เราลงไปช่วยเขาไม่ได้ แต่เราตระโกนบอกคนอื่นได้ว่ามีคนตกน้ำ มาช่วยหน่อย มันคือแบบนั้น มันเป็นเรื่องดี มิวเลยพยามที่จะใช้เสียงของมิว แม้จะไม่ได้ดังมาก แต่ก็พยายามช่วยในเรื่องที่มิวรู้สึกว่าช่วยได้ ”

เมื่อแสดงความคิดเห็นออกไปสู่สาธารณะ ก็ย่อมมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คิดว่าการเป็นกระบอกเสียงให้ผู้คนนั้น มีข้อดี ข้อเสีย หรืออะไรที่เราต้องแลกไปและได้มามากน้อยแค่ไหน?

“ข้อดีมิวรู้สึกว่าอย่างน้อยมิวก็รู้สึกว่าทำอะไรที่มิวพอใจที่จะทำ รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีในความคิดของมิวและเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าสุดท้ายมันจะอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็รู้สึกว่ามิวก็ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่มิวเลือก ส่วนข้อเสียของมันก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ก็มีการเลิกติดตาม หรือรู้สึกว่าทัศนคติไม่ตรงกัน ก็ขอไม่ติดตามแล้วนะคะ ก็เป็นเรื่องปกติ เหมือนรารู้จักใครสักคน หรืออาจไม่รู้จักด้วยซ้ำ เขาเข้ามาในชีวิตเราและก็ออกไป ไม่เป็นไรมันเป็นสิทธิของทุกคนอยู่แล้วที่ใครจะชอบหรือไม่ชอบ เราเคารพสิทธิของทุกคน และถ้าเขาเคารพสิทธิในความคิดของมิวได้ก็จะดีใจ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ค่อย ๆ ลืมไปค่ะ”

ณ วันนี้มองว่า ณ วันนี้ตัวเองประสบความสำเร็จในวงการหรือยัง?

“ถ้าในเรื่องของการยังสามารถอยู่ได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ถ้าในเรื่องชื่อเสียง มิวยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ พูดตรง ๆ มิวก็อยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากกว่านี้ เป็นนักแสดงเบอร์ใหญ่มากกว่านี้ อยากมีไฟส่องที่ตัวเองมากกว่านี้ กระหายความสำเร็จ ใช้คำว่า ‘หิวแสง’ ก็ได้ (ยิ้ม) ส่วนรางวัลของนักแสดง สำหรับมิวก็คงเป็นการที่เวลาไปไหนแล้วคนก็รู้จักเราในทันที และเรียกชื่อเราถูกต้อง (ยิ้ม) ไม่ได้เรียกชื่อเราจากการที่เป็นตัวละคร หรือจำสลับกับคนอื่น มิวอยากเป็นคนเห็นแล้วก็จำได้เลยว่า ‘นี่ไง! มิว ลักษณ์นารา’ และถ้ามีถ้วยรางวัลด้วย สักถ้วยสองถ้วยก็อาจเป็นเรื่องที่ดีค่ะ”

อัพเดทหัวใจหน่อย เพิ่งกลับมาโสด ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“ก็โสดเหมือนเดิม ไม่ได้มีใคร จริง ๆ ไม่ได้ปิดตัวเองนะคะ ถ้ามีใครเข้ามาก็คุยได้ แต่ช่วงนี้มิวอาจโฟกัสเรื่องงาน อาจไม่ได้โฟกัสเรื่องความรักมาก โฟกัสตัวเองและงานมากกว่าค่ะ”

ความรักครั้งนี้ ทำให้ “มิว” ได้ถอดบทเรียน หรือให้ประสบการณ์อะไรที่ทำให้เราเติบโตเป็นพิเศษมั้ย?

“ก็ได้นะคะ อย่างพอเลิกกันมาก็เริ่มมองอะไรเป็นแบบเป็นแผนมากขึ้น ก่อนหน้านี้มิวใช้ชีวิตแบบชิลมาก มีงานก็ได้ ไม่มีงานก็ได้ ไม่ได้ซีเรียส ทุกวันนี้ก็มีความสุขดี ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตต้องตื่นเต้นขนาดนั้น แต่พอเลิกกันแฟนคนล่าสุด ก็สอนอะไรมิวเหมือนกันว่า ถ้าเราอยู่ตรงนี้การแข่งขันมันสูง ถ้าไม่มองตัวเองเป็นผู้แข่งขัน เราจะไปแข่งขันกับคนอื่นได้ยังไง มันก็ช่วยเปลี่ยนมุมมองเรื่องนี้ของมิวมากขึ้น ปกติมิวไม่ค่อยเล่นโซเชียลเท่าไหร่ นาน ๆ จะลงรูปในไอจีที ซึ่งแฟนคนเก่าก็จะคอนเซิร์นเรื่องนี้ของมิวมาก เธอต้องลงรูปทำให้เป็นกิจวัตรสิ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ลงไปเลย คนไม่แคร์หรอกว่าต้องสวยทุกรูป อยากลงอะไรก็ลง ขอแค่มีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ก่อนหน้านี้มิวไม่ค่อยใส่ใจคำพูดของเขาเท่าไหร่ แต่พอเลิกกันมาแล้ว บางอย่างที่เขาพูดก็จริง ๆว่าเราอาจใช้ชีวิตชิลเกินไป ไม่ได้มองโลกในแบบที่มันเป็น มิวจะมีภาพที่สวยงามในหัวของมิวเสมอว่ามันต้องเป็นแบบนี้ เลยไม่ได้ขวนขวาย เพราะรู้สึกว่าสักวันที่เรามองมันจะมาหาเราอยู่ดี แต่เขาจะคอยเตือนสติว่าต่อให้มั่นใจว่ามันจะมาจริง ๆ ถ้าไม่ลงมือทำสักอย่างจริงจัง มันก็ไม่มาหาเธอหรอก หรือว่ามันจะดีกว่ามั้ยถ้ามันมาหาเธอเร็วขึ้น ซึ่งมันก็จริง ทุกวันนี้ก็เลยโฟกัสกับงานและตัวเองมากขึ้น”

เรียกว่าเป็นการจบความสัมพันธ์ที่ เพราะ “มิว” เองก็ยังจำความหวังดีจากเขาได้?

“ทุกวันนี้ไม่ได้เฮิร์ตแล้วค่ะ เราก็จะเลิกกันด้วยดี เพราะไม่ได้มีมือที่สาม มันเลิกเพราะว่าเป้าหมายเราตอนนั้นมันไม่เหมือนกัน ก็เข้าใจได้ แต่ตอนนั้นก็เจ็บมากจริง ๆ แต่ตอนนี้ก็คือโอเคแล้ว ซึ่งตอนนี้มิวก็เป็นเพื่อนกับเขาได้นะ แต่เขาก็อยากทำให้มันชัดเจนว่ามันเป็นยังไง เราเลยอาจไม่ได้ติดต่อกันแล้ว”

ด้วยช่วงวัยและประสบการณ์รักที่ผ่านมา คิดว่าคนต่อไปที่เข้ามา ต้องมีนิสัยยังไง ถึงจะคลิกกับเรา?

“มิวว่าคนที่เข้ามาในช่วงนี้ก็น่าต้องเป็นคนที่เป้าหมาย ชัดเจนกับเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักยืดหยุ่นและผ่อนปรนบ้าง อาจไม่ได้แบบเครียดตลอดเวลา เพราะมิวก็ไม่ไหวเหมือนกัน พื้นฐานเดิมก็ยังเป็นคนชิล ๆ อยู่ อยากให้คนที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนว่าอะไรยังไง เหมือนมีทางที่เห็นชัดเจน และอาจเป็นคนที่เข้าใจในหน้าที่การงานของเรามากขึ้นและซัพพอร์ทกันได้ ส่วนจะมาจีบเราก่อนหรือให้เราเข้าหา อันนี้มิวไม่ติดนะ แต่ในความรู้สึกของมิวก็ยังชอบการที่มีคนมาจีบเรามากกว่า แต่ถ้าเราชอบคนนี้แล้วเขาไม่รู้ว่าเราชอบเขา ก็ต้องทำให้เขารู้ว่า ‘ชอบเธอนะจ้ะ มาจีบฉันสิจ้ะ’ มิวก็เอาตัวบัวรินมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน (ยิ้ม)”

นิยาม “ความรัก” ในแบบของ “มิว”  ณ เวลานี้ให้ฟังหน่อย?

“มิวว่าความรักคือความเข้าใจค่ะ มันรวมทุกอย่าง เข้าใจในเรื่องการใช้ชีวิต หน้าที่การงาน เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ สังคม คนรอบตัวของเรา ถ้ามันมีความเข้าใจ อะไรก็จะง่าย  จะคุยกันได้ในท้ายที่สุด เพราะเรามีพื้นฐานของความเข้าใจ เรามีอะไรก็น่าจะคุยกันง่าย แต่ถ้ามันไม่เข้าใจกันจริง ๆ อย่างน้อยเราจะได้หาทางคุยกันเพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้นอีกนิด ก็ยังดี สิ่งที่สำคัญในความรักของมิวก็คือความเข้าใจ และไม่พยามไปตัดสินว่าทำไมเธอไม่เป็นแบบนี้ แบบนั้นค่ะ”

ท้ายสุดเนื่องในวันคริสต์มาสและใกล้ปีใหม่แล้ว อยากให้อวยพรแฟน ๆ หน่อย?

“เมอร์รี่ คริสต์มาสปีนี้ และปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ มิวก็ขอให้ผู้อ่านเดลินิวส์ทุกท่าน มีความสุขมากๆ คิดอะไรก็ขอให้สมหวัง ที่สำคัญก็ขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ใครที่ทำธุรกิจอยู่ ก็ขอให้ร่ำรวยๆ เฮงๆ ปังๆ ทุกท่าน สวัสดีปีใหม่ค่ะ”

เรียกว่าเป็นการพูดคุยที่ถอดตัวตน ความคิด และหัวใจของ “สาวมิว” แบบหมดเปลือกและเชื่อว่าน่าจะทำให้หลายคนเข้าใจและหลงรักสาวคนนี้มากขึ้นแน่นอน!

เรื่อง : วันวิสาข์ ดอกเงิน