“Winter is coming.” 

ถ้าเป็นแฟนซีรีส์-นิยายเรื่อง Game of Throne ต้องคุ้นเคยกับประโยคนี้แน่ 

ประโยคที่ดูเหมือนเรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก (ฤดูหนาวกำลังจะมาแล้ว) แต่แฝงนัยแห่งการข่มขู่จากภัยร้าย และหากใครเตรียมตัวพร้อมสถานการณ์ไม่ทัน หายนะอาจมาเยือน

และหน้าหนาวของยุโรปปีนี้ คือสถานการณ์แบบ “Winter is coming.” โดยแท้จริง ดูจากการที่ได้เห็นหลายประเทศออกมาตรการเตรียมรับมือวิกฤติอากาศเย็นจัด โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

กระทั่งสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่ถูกมองว่ามั่งคั่งและไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม ก็ยังต้องคิดหนัก เมื่อฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนอย่างเต็มตัว และแจ้งเตือนระดับความรุนแรงด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยระดับจุดเยือกแข็ง หรือต่ำกว่านั้นในหลายประเทศ 

ล่าสุด ประเทศนี้เพิ่งกลายเป็นพาดหัวข่าวจากหลายสำนัก เมื่อประกาศแผนตัดขาดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นแบบขั้นสุด โดยห้ามใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถ EV ในการเดินทางที่ “ไม่จำเป็น” ถ้าหากประเทศตกอยู่ในภาวะขาดแคลนพลังงานระหว่างฤดูหนาว

สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ประเทศในยุโรปแบนพลังงานก๊าซจากรัสเซีย และจำเป็นต้องกักตุนพลังงานเอาไว้ให้ประชาชนของตัวเองได้ใช้ก่อน ซึ่งทำให้สวิตเซอร์แลนด์เดือดร้อน เพราะหาแหล่งซื้อพลังงานเพิ่มเติมได้ยากขึ้นในฤดูหนาวปีนี้ รัฐบาลจึงผุดแผนการประหยัดพลังงาน 2 ขั้นขึ้นมา เพื่อประกาศใช้เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดไฟดับทั้งเมือง (พลังงานไม่พอ)

หากเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแบบ “เบาๆ” ทางการจะขอร้องให้ประชาชนงดใช้ฟังก์ชันของเครื่องใช้ในบ้านบางอย่าง เช่น ห้ามใช้ระบบน้ำทำน้ำอุ่นเกิน 40 องศาฯ ในเครื่องซักผ้า และอาคารสาธารณะต่าง ๆ จะต้องคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกิน 20 องศาเซลเซียส ยกเว้นอาคารของสถานพยาบาลและสถานดูแลผู้ป่วยและคนชรา

หากสถานการณ์ยกระดับรุนแรงขึ้น อุณหภูมิเฉลี่ยในอาคารสาธารณะจะถูกกดลงให้ไม่เกิน 19 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มข้อจำกัดด้านระบบสตรีมมิ่งคอนเทนต์ออนไลน์ต่าง ๆ โดยอนุญาตให้สตรีมมิ่งด้วยระบบมาตรฐานเท่านั้น ห้ามใช้ความละเอียดในการส่งข้อมูลแบบ HD และงดการเดินทางด้วยรถ EV ยกเว้นกรณีที่จำเป็น เช่น การไปหาหมอ, ไปซื้ออาหาร, ร่วมพิธีกรรมทางศาสนาและไปขึ้นศาล

เท่านั้นยังไม่พอ ทางการยังกำหนดว่าจะปิดบริการน้ำร้อนในห้องน้ำสาธารณะทั้งหมด, งดการเปิดใช้บันไดเลื่อน, ปิดการใช้เครื่องผลิตน้ำแข็งเพื่อจำหน่าย, ปิดสระว่ายน้ำ, งดการใช้อาคารกีฬาและอาคารนันทนาการ (แปลว่าจะไม่มีการจัดการแข่งขัน, งานคอนเสิร์ตหรือการแสดงโชว์ต่าง ๆ), ปิดไฟประดับประจำเทศกาลตามอาคารและสถานที่, สถานบันเทิงยามราตรีต้องปิดระบบการให้ความร้อน, เครื่องปรับอากาศในบ้านเรือนทั่วไป ก็ต้องมีการจำกัดอุณหภูมิสูงสุดที่ปรับได้ และที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเทรดเงินดิจิทัลก็คือ “ห้ามขุดเหรียญคริปโต”

เหตุที่ต้องห้ามกันละเอียดยิบขนาดนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูที่ระบบการผลิตพลังงานของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง 60% ของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศได้มาจากพลังงานน้ำ (น้ำตก/เขื่อน) ที่เหลือคือได้จากพลังงานนิวเคลียร์ (ซึ่งรัฐบาลกำลังจะลดการผลิตจากส่วนนี้ให้เหลือศูนย์) และจากพลังงานลม, แสงอาทิตย์และน้ำมันเชื้อเพลิง 

พลังงานน้ำ ทำให้สวิตเซอร์แลนด์มีพลังงานใช้อย่างเหลือเฟือในฤดูที่ไม่มีหิมะ รวมถึงสามารถส่งออกไปขายให้เพื่อนบ้านได้ด้วย แต่ในทางกลับกัน เมื่อถึงฤดูหนาว ประเทศก็ต้องนำเข้าพลังงานจากเพื่อนบ้านเข้ามาเสริม โดยมีแหล่งซื้อหลักอยู่ที่เยอรมนี ซึ่งขณะนี้กำลังกักตุนพลังงานเอาไว้ในบ้านอย่างสุดความสามารถ เพราะได้ประกาศแบนก๊าซจากรัสเซียไปแล้ว จึงมีแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้พลังงานไฟฟ้าได้จำกัด

ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสซึ่งเป็นตลาดหลักแห่งที่ 2 ในการนำเข้าพลังงานของสวิตเซอร์แลนด์ ก็กำลังมีปัญหากับระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์ในบ้านของตัวเอง จึงไม่น่าจะเป็นแหล่งพลังงานที่ไว้วางใจได้ของดินแดนแห่งเทือกเขาแอลป์

เห็นได้ชัดว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีเงินซื้อพลังงาน แต่ปัญหาคือไม่มีพลังงานให้ซื้อต่างหาก

และเมื่อนึกย้อนไปถึงต้นตอของปัญหาที่ทำให้ยุโรปต้อง “หนาว” จริงในหน้าหนาวนี้ ก็จะพบว่า สาเหตุไม่ได้เริ่มต้นจากการระเบิดขึ้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่สาเหตุเบื้องลึกจริง ๆ นั้น อยู่ที่ปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สั่งสมกันมานานจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ดูเหมือนจะมีไม่กี่ประเทศที่สนใจจะแก้ไขอย่างจริงจัง (และเมื่อถึงเวลาฉุกเฉินเฉพาะหน้าก็เอาตัวรอดก่อน เช่น เยอรมนีที่กลับไปใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า) ได้แต่ปล่อยให้วิกฤติตัวจริงของโลกเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ แบบที่เป็นอยู่นี้

แหล่งข้อมูล : dailymail.co.uk

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES