เรียกรอยยิ้มจากชาวโซเชียลที่ได้เห็นภาพความน่ารักน่าเอ็นดูได้แบบล้นหลาม…กับ “ภาพหนูน้อยตัวจิ๋ว” ที่ถ่ายกับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลากหลายสถานที่…ที่บางแห่งแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังเดินทางไปไม่ง่าย จนทำให้หนูน้อยตัวจิ๋วคนนี้ได้รับความสนใจ จนมีการตั้งฉายาให้เธอว่าเป็น “หนูน้อยนักเดินทาง” ที่วันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปทำความรู้จักกับหนูน้อยคนนี้…

“หนูน้อยนักเดินทาง” คนนี้ มีชื่อว่า “น้องมีนา-ธนญญ์นภสร สร้อยจิต” โดยน้องมีวัยแค่ 4 ขวบ แต่ “ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวผจญภัย” ไม่แพ้ผู้ใหญ่หลายคนเลย โดยเธอเป็นที่รู้จักจาก เฟซบุ๊กเพจ “มีนา : A Little Explorer” ที่คุณพ่อ-คุณแม่ของเธอทำขึ้น เพราะอยากจะบันทึกภาพความทรงจำของลูกสาวตัวน้อย โดย “คุณพ่อโต๋” หรือ “อาทิตย์ สร้อยจิต” บอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า ลูกสาวของเขาจะสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางท่องเที่ยว ยิ่งเป็นการเดินป่าเพื่อศึกษาธรรมชาติ ที่ออกแนวผจญภัยนิด ๆ ลูกสาวตัวน้อยของเขาก็จะยิ่งรู้สึกสนุกมาก

ทั้งนี้ คุณพ่อโต๋ ของ “น้องมีนา” สาวน้อยนักเดินทาง เล่าถึงความเป็นมาของเฟซบุ๊กเพจที่ทำขึ้นว่า เกิดจากความที่ตัวของเขาเป็นคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูปอยู่แล้ว ทำให้เวลาเดินทางไปท่องเที่ยวกับครอบครัวก็จะถ่ายรูปเพื่อเก็บช่วงเวลาดี ๆ ของครอบครัวไว้ ต่อมาได้ชวนภรรยา คือ “ปาย-พัชรพร สร้อยจิต” คุณแม่ของ “น้องมีนา ทำเพจนี้ขึ้นมา โดยไม่ได้คิดว่าจะต้องมียอดกดไลค์กดติดตามมากมายอะไร เพราะแค่อยากจะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำของตัวเอง คล้าย ๆ ไดอารี่ หรือสมุดบันทึก เพื่อเก็บเอาไว้ให้น้องมีนาได้ดูตอนที่เธอโตขึ้น และอีกหนึ่งเหตุผลที่อยากทำเพจนี้ขึ้นมา เพราะอยากจะแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับ “การพาลูกเที่ยว” ตามสไตล์ครอบครัวของเขา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับครอบครัวอื่น ๆ หรือพ่อแม่คนอื่น ๆ

คุณพ่อน้องมีนาเล่าย้อนเส้นทางชีวิตครอบครัวที่นำสู่การแจ้งเกิด “หนูน้อยนักเดินทาง” ให้ฟังว่า เขาและภรรยาทำงานเป็นพยาบาล ซึ่งเขาสองคนเป็นแฟนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน และทั้งคู่ต่างก็เป็นคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ แนวแคมปิ้ง แนวเดินป่า เหมือนกัน จึงมักชวนกันไปท่องเที่ยวเดินป่าอยู่เสมอเมื่อมีวันหยุด โดยสถานที่แรกที่ทั้งคู่ไปด้วยกันคือ “ภูกระดึง” ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาทั้งสองรู้สึกประทับใจที่สุด หลังจากนั้นก็ได้ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ จนวันนี้สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ ทั้งสองคนไปจนเกือบครบทุกแห่งแล้ว และอีกสาเหตุที่ออกเที่ยวประจำ คุณพ่อน้องมีนาบอกว่า เพราะเขากับภรรยาได้ตั้งเป้าหมายชีวิตเอาไว้ว่า จะต้องหาเวลาไปเที่ยวให้ได้เดือนละ 1 ครั้งเพื่อเป็นกำไรชีวิต

อย่างไรก็ตาม ย้อนไปเมื่อหลังเรียนจบ ทั้งสองคนก็ต้องห่างกันไป เพราะต่างฝ่ายต้องแยกย้ายกันกลับไปทำงานที่บ้านเกิดตัวเอง โดยคุณพ่อน้องมีนาบอกว่า เขากลับไปที่ จ.สุรินทร์ ส่วนภรรยากลับไปที่ จ.หนองคาย แต่ก็ยังได้ติดต่อพูดคุยกันตลอด และจะนัดหมายกันเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเจอกัน ด้วยการนัดกันไปเที่ยว แน่นอนว่าที่ท่องเที่ยวที่เลือกไปนั้นหนีไม่พ้นแนวเดินป่า แนวแคมปิ้งที่ทั้งคู่ชื่นชอบ และเมื่อความรักสุกงอม ที่สุดจึงแต่งงานกัน และทางตัวของคุณพ่อน้องมีนาก็ได้ย้ายมาทำงานที่บ้านเกิดของภรรยา นั่นคือ จ.หนองคาย ซึ่งช่วงหลังแต่งงานนี้เอง ที่ทั้งคู่ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวได้เหมือนเดิม เพราะต้องพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างครอบครัว จนเมื่อภรรยาเริ่มตั้งท้องน้องมีนา การเดินทางท่องเที่ยวก็ต้องพักเอาไว้ก่อนเลย…

พอคุณแม่เขาเริ่มตั้งท้องน้องเขา เราทั้งคู่ก็แทบไม่ได้ไปเที่ยวกันอีกเลย จนเมื่อคลอดน้องมีนา พอน้องเริ่มโตขึ้น เราก็เลยกลับมาท่องเที่ยวกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะพิเศษกว่าในอดีต คือมีน้องมีนาเป็นสมาชิกในการท่องเที่ยวของเราเพิ่มขึ้นมา 1 คน คุณพ่อโต๋ เล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข พร้อมกับเล่าอีกว่า สถานที่แรกที่พาน้องมีนาไปเที่ยว คือ “เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์” โดยตอนนั้นน้องมีนาอายุแค่เพียง 9 เดือน ซึ่งการที่ตัดสินใจพาลูกอ่อนไปเที่ยวด้วยนี้ คุณพ่อโต๋ย้ำว่า เพราะเชื่อมั่นว่าไม่มีปัญหา และสามารถที่จะดูแลน้องมีนาได้อย่างแน่นอน อีกทั้งจุดที่ไปก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก

คุณพ่อโต๋ยังเล่าต่อไปว่า พอน้องมีนาอายุ  2 ขวบ เขาและภรรยาก็เริ่มพาน้องออกเดินทางท่องเที่ยวแบบการเดินป่าเป็นทริปแรก โดยสถานที่แรกที่พาน้องไป นั่นก็คือ “ภูกระดึง” เพราะเป็นสถานที่แรกที่ได้ไปกับภรรยา และก็มองว่าไม่ลำบากมาก น้องมีนาสามารถจะไปได้ แถมข้างบนก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีร้านอาหารอยู่ด้านบน

ด้วยความที่เราทั้งคู่ชอบท่องเที่ยวแนวเดินป่าหรือแคมปิ้ง เราก็เลยพาน้องไปลองเที่ยวในแบบที่เราชอบ ซึ่งครั้งแรกที่พาน้องไปเดินภูกระดึง ก็เป็นเหมือนการวัดดวงว่าน้องเขาจะชอบแบบเราทั้งคู่หรือไม่ ปรากฏมีนาเขาชอบ เพราะดูเขามีความสุขและสนุกมาก จนไม่ยอมให้เราแบกขึ้น แต่น้องจะขอเดินเอง เราก็ปล่อยให้เขาเดิน แต่ก็ต้องคอยดู คอยระมัดระวังอุบัติเหตุ ซึ่งถ้าเป็นบางช่วงที่ทางชันมาก ๆ เราก็ต้องแบกน้องขึ้นไป ซึ่งบางทีน้องง่วง เขาจะงอแงบ้าง ตามประสาเด็ก ถ้าเป็นแบบนี้ ผมก็จะเอาเขาใส่เป้สะพายเด็ก ใส่ตัวเขาแล้วแบกขึ้นไป พอเขาได้งีบสัก 1-2 ชั่วโมง เขาก็จะตื่นมาแบบสดใสทันที เหมือนได้ชาร์จพลังของเขา ซึ่งพอเขาหายงอแงแล้ว เขาจะบอกให้พ่อปล่อยเขาลง เขาจะเดินเอง บางทีเขาเดินเร็วมาก จนผมกับภรรยาเดินตามแทบไม่ทันก็มี คุณพ่อโต๋เล่าถึง “น้องมีนา” ให้เราฟัง

บันทึกธรรมชาติในเป้บนหลังพ่อ

และคุณพ่อน้องมีนายังเล่าว่า หลังทริปทดลองทริปแรก ปรากฏน้องมีนาจะถามตลอดว่าเมื่อไหร่จะได้ไปอีก พอบอกวันที่จะไป น้องมีนาจะดีใจ จนเฝ้ารอให้ถึงวันที่ได้เดินทาง ทำให้ช่วงวันหยุด เขาและภรรยาต้องพาน้องไปเที่ยวเดินทางตลอด จนมามีโควิด-19 ก็ทำให้ต้องงดการเดินทางไป แต่ก็พยายามหาเวลาพาน้องไปเที่ยวแบบแคมปิ้งบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย

กิจกรรมในวันหยุดของครอบครัวเรา ไม่ใช่การเดินห้าง ดูหนัง แต่เป็นการเดินป่า ปีนเขา ซึ่งเรามองว่าสนามเด็กเล่นของลูกที่ดีที่สุดคือธรรมชาติ และทุกครั้งที่เราพาลูกออกเดินทางท่องเที่ยว เขาก็จะได้รับประสบการณ์ที่ดีทุกครั้งในการเดินทาง ซึ่งผมกับภรรยามองว่า นี่จะเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เมื่อเขาเติบโตขึ้น คุณพ่อโต๋กล่าว

พร้อมกันนี้ก็ย้ำถึง “ประโยชน์” ที่ลูกสาวได้รับจากการ “เดินป่า-ท่องธรรมชาติ” แทนที่จะเดินแต่ห้าง หรือไปเล่นในสวนสนุกอย่างเดียว ว่า… กิจกรรมรูปแบบนี้ ไม่เพียงเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการรักธรรมชาติ แต่ช่วยทำให้เด็กในวัยเล็ก ๆ แบบนี้เกิดพัฒนาการทางด้านร่างกาย เพราะการเดินป่าเป็นเหมือนการออกกำลังกาย ที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อในร่างกายได้ใช้งาน ซึ่งจะส่งผลทำให้เด็กเกิดความแข็งแรง จะเห็นว่ามีนาเขาตัวเล็ก ๆ แต่เขาแข็งแรงมาก นอกจากนั้น เที่ยวแบบนี้ยังช่วยให้เขาได้ฝึกพัฒนาการด้านต่าง ๆ เช่น สติปัญญา และสมาธิ ซึ่งช่วยให้เขามีสมาธิมากขึ้น และทำให้เขาห่างจากโซเชียล ไม่ติดโทรศัพท์ ทำให้เขาเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส สุขภาพแข็งแรง

น้องมีนา กับคุณพ่อโต๋-คุณแม่ปาย

ส่วน “ข้อกังวล” ของคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน ที่อาจกังวลเกี่ยวกับการ “พาลูกท่องเที่ยวเดินป่า” แบบนี้ คุณพ่อ “น้องมีนา” บอกว่า สิ่งที่อยากบอกคือ “ลูก ๆ ของเรา เก่งและแกร่ง มากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด” และเด็กในช่วงวัยแบบนี้ จะต้องให้เขาได้วิ่งเล่น ได้ทำกิจกรรม ได้ออกกำลังกายมากกว่าที่จะให้นั่งเรียนอยู่กับที่อย่างเดียว ซึ่งหากน้องมีนาโตขึ้นแล้วจะไม่ชอบท่องเที่ยวแนวนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่น้องมีนาเองเป็นคนตัดสินใจ แต่หากเขายังชอบ พ่อแม่ทั้งสองคนก็พร้อมสนับสนุนลูกเสมอ

ในฐานะเป็นผู้ถ่ายทอด “เรื่องราว” ของ “น้องมีนา” ทางคุณพ่อยังได้บอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า ครอบครัวของเขาพาน้องเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่น้องยังแบเบาะ จนปัจจุบันน้องมีนาอายุ 4 ขวบแล้ว ซึ่งการที่พาลูกออกเดินทางแบบนี้ ในมุมมองเขากับภรรยามองว่า ช่วยให้น้องมีนาได้เรียนรู้อีกหนึ่งระบบ นั่นคือได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ที่แตกต่างจากการเรียนในห้องเรียน ที่จะมุ่งเน้นการท่องจำเป็นหลัก ทั้งนี้ คุณพ่อน้องมีนายังได้ฝากถึงทุก ๆ ครอบครัว โดยเฉพาะ “คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยเดียวกับน้องมีนา” ว่า… อย่ามัวแต่ทำงาน จนลืมหาเวลาเพื่อทำกิจกรรมครอบครัวพ่อแม่ลูก เพราะช่วงวัยนี้…

เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด.

‘เตรียมพร้อม…พาลูกเดินป่า’

แม้การ “พาลูกท่องเที่ยวเดินป่า” แบบนี้จะมีประโยชน์ในการเสริมสร้างความแข็งแรงทางร่างกาย และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ให้กับลูกก็ตาม แต่ “คุณพ่อโต๋-คุณแม่ปาย” ของ “น้องมีนา” ก็ได้ย้ำว่า ’ความปลอดภัยของลูกคือสิ่งสำคัญที่สุด“ ดังนั้นในการเดินป่าแต่ละครั้ง การเตรียมความพร้อมคือหัวใจสำคัญ โดยคุณพ่อโต๋ของน้องมีนา แนะนำว่า การเตรียมตัวก่อนที่จะพาลูกไปนั้น สิ่งที่จำเป็นต้อง เตรียมก็จะมีอาทิ… ยาต่าง ๆ เช่น ยากันแมลง ยากันยุง, เสื้อผ้าที่เหมาะสม กับสถานที่และสภาพอากาศ, นมของลูก ก็ต้อง เตรียมให้พร้อม ซึ่งการที่ต้องเตรียมความพร้อมมากกว่าการไปท่องเที่ยวรูปแบบอื่น แม้คนเป็นพ่อแม่อาจจะต้องเหนื่อยมากขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ก็ต้องทำเพื่อความปลอดภัยของลูก หรือแม้แต่ “การเตรียมร่างกายพ่อแม่ให้แข็งแรงก็จำเป็น” ต้องทำเช่นกัน เช่น เวลาที่ลูกง่วงหรือหลับ บางครั้งคุณพ่อหรือคุณแม่ก็ต้องแบกลูกสะพายใส่เป้เดิน… ถามว่าแบกลูกบุกป่าฝ่าดงเหนื่อยไหม แน่นอนเหนื่อย แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่ทำให้เรามีความสุขมาก ๆ.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน