ปิดฉากรูดม่านกันไปเรียบร้อย!! กับการเป็น “เจ้าภาพ” อีเวนต์ใหญ่ ทั้งเรื่องของ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคทั้ง 21 ชาติ ครั้งที่ 29 ท่ามกลางกระแสเสียงตอบรับ…ความเป็นเลิศของการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ในระดับเวิลด์คลาส

อาจเป็นรูปภาพของ สถานที่ในร่ม และ ข้อความพูดว่า "APEC 2022 THAILAND aBAC Dialogue with APEC Leaders 18 November 2022, Bangkok, Thailan ABAC ABAC"

หรือ…จะเป็นเรื่องของการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดมหกรรมกีฬายอดนิยมของมวลมนุษยชาติ “ฟุตบอลโลก 2022” ที่ได้ภาคเอกชนมาช่วย “เติมเต็ม” ความสุขให้กับคอบอลชาวไทย

แม้ว่าความสุขครั้งนี้ ยังมีปัญหาตามมาอีกสารพัด โดยเฉพาะ “สิทธิ” ในการรับชม ที่หลายฝ่ายต่างเรียกร้องว่า “ไม่เป็นธรรม” ด้วยต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง

ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร? สุดท้าย คอบอลชาวไทยก็ได้ดูการถ่ายทอดสดครบทั้ง 64 แมตช์ จะผ่านทางช่องทีวีไฮเดฟ หรือสแตนดาร์ด ก็ตาม !!

แต่!! สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งคอบอล และชาวไทยทั้งประเทศ ได้เห็นได้รับรู้รับทราบ ก็คือผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ใครได้ก็เงียบ ใครเสีย ก็โวยวาย เป็นสัจธรรมของโลก

เอาเป็นว่า…หลังจากเรื่องราว ๆ ใหญ่ ๆ เสร็จสิ้นไปแล้ว ทีนี้เรื่องราวใหญ่ของประเทศอย่างเรื่องของ “การเมือง” ก็จะปะทุกันขึ้นมาอีก โดยเฉพาะกระแสข่าวที่ว่าหลังจบเอเปค จะ “ยุบสภา” เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่? บรรดา “คอการเมือง” ต้องตามให้ติด ตรองให้หนัก

เช่นเดียวกับ “ของขวัญปีใหม่” ที่กำลังทยอยเปิดตัวกันออกมาให้เห็น อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้… แม้ถือว่าเป็น “หน้าที่” ของผู้บริหารที่ต้องทำให้คนไทยทั้งประเทศมีความสุขแล้ว แต่อีกทาง!! ก็เป็นหนทางในการสร้างเสริมคะแนนเสียงได้เช่นกัน

Female friends out shopping together

ว่ากันว่า…ก่อนปีใหม่ คือวันที่ 29 พ.ย.นี้ รัฐบาลของ “ลุงตู่” เตรียมขนสารพัดแพ็กเกจ “ของขวัญปีใหม่” มาสนนให้คนไทยทั้งประเทศได้ชื่นชม

โดยเฉพาะ “ช้อปดีมีคืน” ที่เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ “โดนใจ” ไม่น้อยไปกว่า “คนละครึ่ง” แต่รอบนี้ ได้ขยับวงเงินในการนำมาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 40,000 บาท

ส่วนที่เพิ่มขึ้น…เป็นส่วนของ อี-บิล หรือบิลอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10,000 บาท นอกเหนือไปจากใบเสร็จรับเงินที่เป็นกระดาษ ที่คนไทยคุ้นเคยที่สามารถนำมาหักภาษีได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท

ขณะที่ระยะเวลาของมาตรการเบื้องต้นได้กำหนดไว้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว คือ การซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.66 โดยนำค่าใช้จ่ายไปขอหักลดหย่อนภาษีในปีภาษี 66 หรือ ในช่วงของการเสียภาษีวันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 67 นั่นแหละ

แม้!! เป็นมาตรการที่ไม่ต่อเนื่องกับ “คนละครึ่ง เฟส 5” ที่ออกมาก่อนหน้านี้ หรือไม่เป็นไปตามกระแสเรียกร้องของภาคเอกชน แต่ก็ถือว่าสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 66 ได้เป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งที่ว่ากันว่า…จะเป็นห้วงเวลาแห่งการ “เผาจริง”

มาตรการนี้!! แม้ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 8,200 ล้านบาท แต่ก็ทำให้มีเงินเข้าไปหมุนในระบบเศรษฐกิจไม่น้อยไปกว่า 56,000 ล้านบาททีเดียว

ถ้าจำกันได้ จากการนำ “ช้อปดีมีคืน” มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี 58 ซึ่งตอนนั้นอยู่ในชื่อ “ช้อปช่วยชาติ” ในช่วงวันที่ 25-31 ธ.ค. โดยให้นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ มาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท ครั้งนั้น!! รัฐบาลบอกว่าทำให้มีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ 9,000 ล้านบาท

ต่อมาในปี 59 คือ ระหว่างวันที่ 14-31 ธ.ค. มีเงินสะพัดประมาณ 17,000 ล้านบาท ซึ่งนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้เท่าเดิมที่ไม่เกิน 15,000 บาท ขณะที่ปี 60 ระหว่างวันที่ 11 พ.ย.-3 ธ.ค. หักภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทำให้เกิดเงินสะพัด 22,500 ล้านบาท

ส่วนในปี 61 ที่มีเวลาใช้จ่ายนานถึง 1 เดือน คือระหว่างวันที่ 15 ธ.ค.61-15 ม.ค. 62 ที่หักลดหย่อนได้เท่าเดิมที่ 15,000 บาท มีเงินสะพัดประมาณ 12,000 ล้านบาท ส่วนปี 63 ตั้งแต่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.63 ที่ยาวนานถึง 67 วัน แต่หักภาษีได้ 30,000 ล้านบาท มีเงินสะพัดราว 1.11 แสนล้านบาท

ขณะที่ปี 64 เว้นวรรคไปเป็นต้นปี 65 คือวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 65 ที่ผ่านมา หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30,000 ล้านบาท คาดการณ์กันว่าจะมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจราว 40,000-50,000 ล้านบาท

เอาเป็นว่าณ เวลานี้ อยู่ในห้วงเวลาแห่ง “ความสุข” เชื่อเถอะ!! มาตรการอะไรที่ถูกใจ โดนใจก็มีผลต่อฐานะรัฐบาลไม่น้อยเช่นกัน!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”