สำหรับนักชิมที่นิยมเมนูเนื้อจากญี่ปุ่น อาจจะเคยได้ยินเรื่องราวเหลือเชื่อของร้านขายเมนูทอด ‘อาซาฮิยะ’ แห่งจังหวัดเฮียวโงะ กันมาบ้าง ด้วยความอร่อยอันเป็นที่เลื่องลือถึงขั้นมีการจองคิวซื้อและรับสินค้าที่ต้องรอกันนานหลายสิบปี

ถึงจะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ก็มีประวัติเก่าแก่ยาวนาน โดยร้านอาซาฮิยะ ตั้งขึ้นในปี 2496 เริ่มจากการขายเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อวัว ซึ่งรวมถึงเนื้อโกเบที่จัดว่าเป็นเนื้อชั้นเยี่ยมสำหรับนักชิมสายเนื้อ 

หลายปีหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ร้านอาซาฮิยะก็เพิ่มเมนู ‘โครเก็ตเนื้อ’ หรือเนื้อชุบแป้งทอดกรอบ เข้าไปในร้านด้วย แต่ยอดขายก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก 

กาลเวลาผ่านไปหลายสิบปี จนล่วงเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม ในช่วงต้น ค.ศ. 2000 เมนูโครเก็ตเนื้อสูตรเฉพาะตัวของทางร้าน กลายเป็นเมนูยอดนิยม ซึ่งชาวเน็ตยุคนั้น มีส่วนช่วยให้คนจำนวนมากรู้จักทั้งร้านและเมนูนี้ ซึ่งกลายเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการรอคิวจองซื้อ-รับสินค้าที่ต้องรอนานกันเป็นเวลาหลายสิบปี

หนึ่งในเมนูยอดฮิตของทางร้านคือ ‘เอ็กซ์ตรีม โครเก็ต’ ใช้เนื้อโกเบเป็นส่วนผสมหลัก แต่ถ้ารอคิวชิมถึง 30 ปีไม่ไหว ทางร้านก็ยังมีเมนู ‘พรีเมียร์ โกเบบีฟ โครเก็ต’ ซึ่งรอไม่นานเท่าไหร่-แค่ 4 ปีเท่านั้นเอง

ชิเงรุ นิตตะ เจ้าของร้านรุ่นที่ 3 ของร้านอาซาฮิยะ ให้สัมภาษณ์ว่า ร้านของเขาขายของผ่านช่องทางออนไลน์จนหมดไปตั้งแต่ปี 2542 แล้ว โดยในตอนนั้น ร้านได้เสนอเมนู เอ็กซ์ตรีม โครเก็ต เป็นเมนูทดลอง

นิตตะ เติบโตมากับร้านนี้ เขาเข้ามารับช่วงแทนผู้เป็นพ่อเมื่อปี 2537 ในวัย 30 ปีพอดี เขาได้เริ่มทดลองการทำธุรกิจแบบอี-คอมเมิร์ซ ราว 2-3 ปี จึงพบว่า ลูกค้าจะไม่ค่อยมั่นใจกับการซื้อเนื้อพรีเมียมจำนวนมากผ่านช่องทางออนไลน์ 

แต่ก็เป็นช่วงนั้นเอง ที่เขาตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดและเสี่ยงที่สุดในชีวิต โดยเสนอขายเมนู เอ็กซ์ตรีมโครเก็ต ออกมาในราคาเพียงชิ้นละ 270 เยน (ราว 68.77 บาท) ซึ่งเฉพาะต้นทุนของเนื้อที่ใช้ในการปรุง ก็คิดเป็นราคาที่สูงถึงชิ้นละ 400 เยน (ราว 101.89 บาท) แล้ว

นิตตะ กล่าวว่า เขาอยากจะทำเมนูโครเก็ตที่อร่อยและมีราคาที่ไม่แพงมาก เพื่อนำเสนอคอนเซปต์ของทางร้าน และหวังว่าเมื่อลูกค้าพอใจกับรสชาติของโครเก็ตเนื้อของร้าน ก็จะตัดสินใจสั่งซื้อเนื้อจากร้านของเขามากขึ้น 

นิตตะ รอบคอบพอที่จะคิดถึงเรื่องกำไร-ขาดทุน เขาจึงกำหนดว่าจะผลิตเมนูโครเก็ตเนื้อสุดพิเศษนี้เพียงสัปดาห์ละ 200 ชิ้น เพื่อไม่ให้มีภาระขาดทุนมากเกินไปในคราวเดียว

ราคาขายที่แสนถูกของเมนูนี้ ช่างขัดแย้งกับคุณภาพระดับเอบวก อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่ปรุงอย่างสดใหม่แบบวันต่อวัน โดยมีวัตถุดิบหลักเป็นเนื้อแม่วัวสาวอายุ 3 ปี จากโกเบ ระดับ A5 และมันฝรั่งที่ปลูกในท้องถิ่น

ในที่สุดแนวคิดของเมนูสุดพิเศษนี้ ก็ไปสะดุดความสนใจของทั้งนักชิมและสื่อมวลชน เมื่อมีการเผยแพร่เรื่องราวของร้านอาซาฮิยะ ออกมาในช่วงต้นปี 2543 ความนิยมของทั้งร้านและเมนูโครเก็ตเนื้อก็พุ่งสูง นิตตะ กล่าวว่า ทางร้านต้องหยุดขายเมนูนี้ในปี 2559 เพราะคิวรอรับสินค้าของลูกค้านั้นยาวนานถึง 14 ปี อันที่จริง เขายังคิดเรื่องหยุดขายเมนูดังกล่าวด้วย แต่แล้วก็มีลูกค้าติดต่อเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อขอร้องว่าอย่าเพิ่งเลิกขาย

ร้านอาซาฮิยะ กลับมาขายเมนูเอ็กซ์ตรีมโครเก็ต ในปี 2560 แต่ปรับราคาให้สูงขึ้นเป็นชิ้นละ 500-540 เยน (ราว 127.36-137.55 บาท) บวกภาษี และเพิ่มกำลังการผลิตเป็นวันละ 200 ชิ้น แต่แล้ว ธุรกิจส่งออกเนื้อโกเบที่เพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้ราคาเนื้อสดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จึงกลายเป็นว่าร้านยังขาดทุนเหมือนเดิม 

นิตตะ กล่าวว่า มีคนแนะนำให้เขาจ้างพนักงานเพิ่ม เพื่อผลิตสินค้าออกมาได้เร็วขึ้น แต่เขาคิดว่า คงไม่มีเจ้าของร้านคนไหนที่อยากจ้างคนงานเพิ่มเพื่อมาผลิตสินค้าที่ขายแล้วขาดทุนได้มากขึ้น เขาบอกว่า เขาก็รู้สึกไม่ดีที่ทำให้ลูกค้าต้องรอนาน เขาเองก็อยากจะทำโครเก็ตออกมาให้มากและเร็ว แต่ถ้าทำแบบนั้น ร้านของเขาคงล้มละลายเสียก่อน

นิตตะ กล่าวว่า โชคของทางร้านยังดีอยู่ เมื่อลูกค้ากว่าครึ่งหนึ่งที่สั่งเมนูโครเก็ตเนื้อไปแล้ว มักจะกลับมาซื้อเนื้อโกเบของทางร้านด้วย ซึ่งเท่ากับกลยุทธ์การขายของเขาได้ผลดีทีเดียว

ในแต่ละกล่องของเอ็กซ์ตรีมโครเก็ตจะบรรจุโครเก็ต 5 ชิ้น และขายในราคากล่องละ 2,700 เยน (ราว 687.75 บาท) ทางร้านจะคอยอัพเดทคิวของลูกค้าที่รอคอยอยู่อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อถึงคิวส่งของลูกค้าคนใด ร้านจะต้องยืนยันออร์เดอร์ล่วงหน้า 1 สัปดาห์ สำหรับลูกค้าที่เปลี่ยนที่อยู่อีเมล ร้านจะโทรศัพท์หาโดยตรง เพื่อแจ้งวันส่ง 

เอ็กซ์ตรีมโครเกต์จะถูกส่งถึงมือลูกค้าในแบบอาหารแช่แข็งพร้อมปรุง

ลูกค้าที่ได้รับสินค้าในปัจจุบันนี้ คือกลุ่มที่สั่งไว้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และขณะนี้ทางร้านมีคิวยาวไปจนถึง 30 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า ถ้ามีลูกค้าที่สั่งเมนูเอ็กซ์ตรีมโครเก็ตในวันนี้ เขาจะต้องรอไปอีก 30 ปี ถึงจะได้รับสินค้า

แม้ว่าการขายเมนูเนื้อที่ “เข้าเนื้อ” แบบนี้ ดูจะกลายเป็นภาระมากกว่าการทำกำไร แต่ นิตตะ ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำต่อไป เพราะเขาใฝ่ฝันอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสชิมเนื้อโกเบ

เขาเล่าว่า เมื่อตอนที่เริ่มขายเนื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เขาได้รับออร์เดอร์จากเกาะที่อยู่ไกลมาก ลูกค้าที่นั่นไม่เคยชิมเนื้อโกเบมาก่อนเลยในชีวิต แต่เคยรู้เรื่องของเนื้อโกเบผ่านสื่อโทรทัศน์ นิตตะ จึงตระหนักรู้ในตอนนั้นเองว่า ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้อโกเบมาก่อน

และด้วยเหตุผลนั้นเอง ที่ผลักดันให้เขายังคงเปิดร้านเพื่อเสนอขายเมนูโครเก็ตเนื้อไปเรื่อย ๆ และการทำธุรกิจที่ขาดทุนของเมนูนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป

แหล่วข้อมูล : edition.cnn.com

เครดิตภาพ : asahiya-beef.com, YouTube / つよしの気ままライフTV