การที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 21 ผู้นำเขตเศรษฐกิจ (เอเปค) ช่วง 18-19 พ.ย. 65 ความโดดเด่นของเจ้าภาพปีนี้ สู้บรรยากาศเมื่อปี 46 ไม่ได้อย่างแน่นอน

เนื่องจากปีนี้เจอการประชุมใหญ่ตัดหน้า 2 รายการคือ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กัมพูชาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขนาด “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังมา! ก็นึกภาพดูเอาเองว่าผู้นำหมายเลข 1 ของโลก ให้เครดิต “เจ้าภาพ” อย่างกัมพูชาขนาดไหน

ต่อมาคือการประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ (จี20) ที่อินโดนีเซีย 15-16 พ.ย. 65 ซึ่งยิ่งใหญ่กว่า “เอเปค” มาก! เพราะจี 20 ประกอบด้วยสมาชิก 19 ประเทศ และ 1 สหภาพ คือ สหราชอาณาจักร แคนาดาฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เยอรมนีสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียอาร์เจนตินา บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก รัสเซียซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ ตุรกี เกาหลีใต้ และสหภาพ
ยุโรป

นายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ไปคุยกับ โจ ไบเดน ในจี 20 รวมทั้งปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ถกกันในจี 20

Biden calls for trust with China amid airspace dispute | Reuters.com

สรุปเอเปคที่กรุงเทพฯ ถูกปาดหน้าด้วยการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กัมพูชา ทำให้สมเด็จฮุน เซน กลายเป็นพระเอก และจี 20 ที่อินโดนีเซีย ทำให้ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอาเซียนไปแล้วเช่นกัน

ที่สำคัญเอเปคปีนี้ โจ ไบเดน ไม่มา! วลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียไม่มา เมื่อแม่เหล็กไม่มา เสน่ห์เอเปคจึงหายไป คำถามตามมาคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแสดงบทบาทผู้นำสู้กัมพูชา และอินโดนีเซียได้หรือเปล่า?

โดยเฉพาะประเทศไทยชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว : Bio Circular Green Economy) ถูกผลักดันให้เป็นวาระหลักในเอเปคคนไทยได้ประโยชน์อะไร? หรือว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย?

เนื่องจากเศรษฐกิจ BCG ยังกลวง ๆ และล่องลอยอยู่สำหรับไทย ส่วนสาระการประชุมเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือในปัจจุบันเป็นเรื่อง “รูทีน” ไปหมดแล้ว ดังนั้นเอเปคเที่ยวนี้น่าจะเป็นการขายฝัน ต่อยอดให้ พล.อ.ประยุทธ์ก่อนก้าวไปสู่พรรครวมไทยสร้างชาติ มากกว่า! ที่พล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กำ ลัง “แตกแบงก์พัน”แยกกันเดิน แยกกันตี แล้วมารวมกันอีกทีหลังเลือกตั้ง

ปัดวัดพลังทางการเมือง-“ประยุทธ์”แจงลงพื้นที่ชน“ประวิตร”

วันนี้ต้องยอมรับกันตามตรงเกี่ยวกับ “ภูมิรัฐศาสตร์” ประเทศไทยขยับตัวช้า ตามไม่ทันมหาอำนาจจีนที่เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ตลอดเวลา จีนขยับออกทะเลผ่านลาว-เวียดนาม พร้อมกับหมุนไปออกทะเลทางเมียนมา แถมยังตั้งท่าเรือ “ดาราสาคร” ในกัมพูชา หลังจากไทยสร้างรถไฟความเร็วสูงมา 5 ปี แต่เสร็จไม่ถึง 10 กม.

ปัจจุบันประเทศไทยเนื้อไม่หอมเหมือนปี 46 เพราะปัจจัยเรื่องการเมืองการปกครอง (ส.ว. 250 คน) การละเมิดสิทธิมนุษยชน และที่สำคัญคือไม่มีเงิน เนื่องจาก 8 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมี “จีดีพี” โตถึง 4-5% แม้แต่ปีเดียว และไทย ไม่มีภาพความเป็นผู้นำในภูมิภาคมาหลายปีแล้ว นับแต่การรัฐประหารปี 57

พล.อ.ประยุทธ์จะยึดแนวการเมืองการปกครองแบบจีนไม่ได้หรอก! เพราะจีนมีเงิน เขาจึงเนื้อหอม ใครก็อยากคุยด้วย ส่วนประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแบบนี้ เงินก็ไม่มี จีดีพีโตปีละ 1% กว่า ๆ ก่อนรัฐประหารปี 57 ไทยยังเนื้อหอมกว่านี้ด้วยซ้ำไปไม่ต้องไปเทียบกับปี46 เลย!!

———————-
พยัคฆ์น้อย