ได้คุยกับญาติสนิทมิตรสหายหลายคน รวมถึงเพื่อนๆ คนรอบๆ ตัว ทุกคนบอกว่า “สิ่งที่น่าอิดหนาระอาใจของรัฐบาลนี้คือมิจฉาชีพเยอะ” ทั้งเรื่อง ยาเสพติด ที่ยาบ้าขายกันถูกเหลือเกิน ซึ่งการที่มันราคาถูกก็ฟ้องอะไรบางอย่างได้ว่า “แสดงว่ามันซื้อหากันง่ายขึ้น” ว่าด้วยสามัญสำนึก ของหายากไม่ลดแลกแจกแถมกันจนราคาตกหรอก แล้วเราก็ได้เห็นข่าวกรณีผู้เสพยาบ้า (หรือยาเสพติดอื่น) ขาดสติไปทำร้ายผู้อื่นอยู่บ่อยๆ จนถึงฆาตกรรม

อยากบอกว่า “ข่าวที่ออกมาเป็นแค่ส่วนหนึ่ง” เพราะความที่ “เหตุเกิดจากยาบ้า” มันเยอะจัด ทำให้มีหลายเรื่องที่ไม่เป็นข่าว หรือหลายเรื่องที่ถูกกระบวนการคัดเลือกข่าวกรองทิ้งออกไป เนื่องจากข้อจำกัดในพื้นที่นำเสนอ (เช่น หน้าหนังสือพิมพ์มีจำกัด ทีวีก็มีแอร์ไทม์จำกัด ลงเว็บไซต์ก็ไม่ได้ดึงดูดพอที่คนจะเข้ามาอ่าน เพราะแทบจะมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว) และยังมีหลายเรื่องที่ไม่เป็นคดี ..ซึ่งที่น่าเศร้าคือ หลายเรื่องเป็น “เหตุเกิดในครอบครัว” ประเภทบุตรหลานติดยาบ้าทำร้ายบุพการีหรือผู้ใหญ่ในบ้าน บางคดีแม่ต้องแจ้งจับลูกตัวเอง เพราะทนถูกทุบตีรีดเงินไปซื้อยาไม่ไหว

ส่วนตัว เคยคิดว่า “ยาเสพติดเป็นเรื่องไกลตัว” คือตราบใดที่เราไม่เข้าไปอยู่ในแวดวงที่เขาใช้กัน มันก็ไม่มาถึงเรา แต่ปัจจุบันต้องเปลี่ยนความคิด ใครจะรู้ว่า คนข้างๆ เพื่อนบ้าน อาจติดหรือขายยาบ้า หรือไม่ก็วันดีคืนดี เกิดมีใครคลั่งยาบ้าหรือยาเสพติดบุกเข้ามาทำร้ายเรา ..พวกยาเสพติดออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทนี่ อย่าได้ประมาทว่า “มีแต่พวกตลาดล่างที่เล่น” คนหน้าที่การงานดีๆ ภาพลักษณ์ดีๆ เขาก็เล่น แต่อาจเล่นตัวแพง หรือเล่นแบบรู้ขอบเขตของตัวเอง ..นี่เคยได้ยินมาถึงขั้นว่า หมอบางคนก็เล่นยาด้วยซ้ำ และเขาคุมตัวเขาได้ ..หรือกรณีหนึ่งมีการใช้ยาเสพติดเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ หรือที่เรียกว่า chem sex ซึ่งก็มีความแพร่หลายพอสมควร หลายคนก็น่าจะจำได้ ที่มีกรณีหลอนยาแล้วคลั่งทำโน่นนี่ เช่น กระโดดตึก

มันระบาดหนักในช่วงนี้เพราะอะไร? มีคนตั้งสมมุติฐานว่า จากภาวะโควิดที่ทำให้ประเทศไทยหยุดชะงักไปสองปีกว่า ทำให้คนตกงาน เครียด หันมาเล่นยามากขึ้น ..สมมุติฐานนี้จะมีน้ำหนักหรือเปล่าก็ตามแต่ ปัญหาคือ ตัวแปรต้นของเหตุการณ์มันมีอยู่ว่า “ทำไมยาบ้ามันหาง่ายขึ้น”  ราคาก็ถูกลง จับผู้ค้าได้บางที..ต้องบอกว่า..ขอโทษที่ทุเรศ บางกรณีเป็นยายวัยเกือบ 80 หันมาค้ายาบ้าแล้วเสพด้วยซ้ำ …คือถ้ามันเยอะแบบเล่นจนหลอนกันทั้งเมือง ก็คงจะพูดด้วยสามัญสำนึกกันได้ไม่ยากว่า ผลกระทบทางสังคมมีมากมาย คนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาก็ไม่ปลอดภัย วันดีคืนดีถูกปล้นเงินไปซื้อยาบ้า หรือถูกพวกเมายาจนหลอน จับเป็นตัวประกันเอามีดจ่อคอหอยทำไงล่ะ

ภาระทางสาธารณสุขเพิ่มขึ้นในการบำบัดผู้ติดยา และถ้ามันลามหนักไปอีก ส่งผลกระทบต่อภาวะแรงงานอีก เนื่องจากกลุ่มเสพยาบ้า ยาเสพติดจำนวนมากเป็นกลุ่มคนวัยแรงงาน ถ้ากลายเป็นพวกป่วยจิตเภทเรื้อรัง แรงงานก็ทำงานไม่ได้ สังคมไทยเป็นสังคมที่บุตรหลานดูแลผู้สูงอายุ ..บุตรหลานติดยาบ้าขึ้นมา ทำอะไรไม่ได้ ก็กลายเป็นภาระให้ผู้สูงอายุต้องมาคอยดูแล ..เคยได้ข่าวว่า บางคนก็ใช้เงินผู้สูงอายุของพ่อแม่นั่นแหละ ไปซื้อยาบ้า

เมื่อถามความรู้สึกคนรอบข้าง (ไม่ได้สำรวจเป็นโพล) เขาพูดเหมือนๆ กันว่า “รัฐบาลไม่ค่อยทำให้ยาเสพติดเป็นเรื่องวาระแห่งชาติเท่าไร” คือการเพิ่มการสื่อสารสร้างความกลัว ให้คนเห็นพิษภัยมันมากกว่านี้ เพิ่มการสื่อสารจูงใจที่ให้พ่อแม่นำบุตรหลาน หรือตัวผู้เสพเอง เข้าสู่ระบบบำบัดแบบสมัครใจ  เห็นให้เงิน สสส. ทำสื่อรณรงค์เรื่องเหล้า เรื่องบุหรี่ ตอนนี้มาคุยกันหน่อยได้ไหมว่า ควรจะทำเรื่องยาบ้ายาเสพติดเพิ่มอีกเรื่อง ยาบ้า ยาอี ยาเค ยาไอซ์ โคเคน เฮโรอีน อะไรพวกนี้ ทำด้วยน้ำเสียงซีเรียสจริงจัง ไม่ต้องผ่อนปรนเพราะมันผิดกฎหมาย (ขณะที่เหล้าและบุหรี่ยังออกมาในเชิงสื่อสารที่รณรงค์อย่างผ่อนปรน จูงใจให้เลิกมากกว่า เพราะสองอย่างนี้มันถูกกฎหมาย)

ถ้าจะพูดกันไป การสื่อสารคือ soft power พลังโน้มน้าวใจ ขณะที่ hard power คือพลังบังคับ ก็ต้องถึงลูกถึงคนกันเรื่องการไล่กวดจับ เมื่อก่อนเรามีสโลแกน “ผู้เสพตาย ผู้ขายติดคุก” ตอนนี้ไม่รู้จะยังกลัวกันหรือเปล่าเพราะข่าวว่านักโทษคดีค้ายาจะล้นคุกอยู่แล้ว คดียาเสพติดมันคือคดีกระทบต่อความมั่นคงของชาติ (ดังที่อธิบายไปข้างต้นว่า ผลกระทบมันเป็นลูกโซ่อย่างไร) ยาอ่อน ยาแรงอะไรก็เอามาใช้ให้ชัดๆ ให้หมดๆ เถอะ ไม่ใช่เกิดคดีระดับสะเทือนขวัญทีประกาศวาระแห่งชาติทีแล้วก็เงียบ..เส้นทางการลำเลียงอยู่ไหน เราซีลตะเข็บชายแดนได้อย่างไร ก่อนรัฐบาลจะหมดวาระก็เป็นเรื่องที่ฝากไว้ให้คิด ตอนนี้จะเลือกตั้งเราพูดกันเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยรัฐบาลใหม่มาก อย่าให้ยาบ้ามันซุกใต้พรม

อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลถ้าอยากได้คะแนนเสียงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง คือจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือหลายคนโดนจนเบื่อ พวกทันมุกก็ทันไป ด่ากันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์สนุกสนาน แต่พวกไม่ทันมุกคือสูญเสีย ข่าวว่าค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากแก๊งพวกนี้ร่วมสองหมื่นล้าน และที่น่าสงสารคือเหยื่อ หลายคนเป็นคนแก่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ถูกขู่ว่าทำผิดกฎหมายให้คุยกับตำรวจเก๊ ก็กลัวลนลาน ..แสดงให้เห็นถึง “ความเหลื่อมล้ำ”, “ความไม่รู้” หรือจะเรียกอะไรก็ตาม อีกรูปแบบหนึ่ง ที่ประชาชนกลัวผู้บังคับใช้กฎหมาย “เกินไป” ตรงนี้อยากฝากให้คิดว่าจริงหรือไม่

พูดถึงเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ก็นึกถึงกรณีพวกต่างชาติที่เข้ามาสวมบัตรประชาชนคนไทยด้วยวิธีทุจริตต่างๆ เช่น ไปสวมทะเบียนราษฎร์คนตาย ตั้งฐานทัพอยู่ในไทยหรือประเทศเพื่อนบ้านนี่แหละ ทำทีเป็นหลอกโทรฯ มาขู่ว่า “คุณกำลังยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย เราเป็นตำรวจ (หรือ ปปง.) ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินของคุณ” และอย่างที่ว่า..คือไม่รู้ว่าคนไทยกลัวตำรวจเกินไปหรือไม่ ทำให้บางคนตกใจกลัวเอาจริงๆ และตกเป็นเหยื่อ อย่างกรณีเหยื่อรายหนึ่งที่ชุมพร โดนไปร้อยกว่าล้าน จนธนาคารเห็นผิดสังเกตถึงโทรฯ มาถาม แล้วก็บิงโก..แก๊งคอลเซ็นเตอร์ …รัฐบาลคิดจะตรวจสอบหรือไม่ว่า มีพวกต่างด้าวเข้ามาทำทุจริตมิจฉาชีพในประเทศไทยเท่าไร ต้องทำเชิงรุก คือไม่ใช่เรื่องเกิดก่อนค่อยล้อมคอก

Side view of male hacker talking on smartphone with copy space

มุขที่ใช้บ่อยๆ คือ..คุณมีพัสดุที่มีปัญหา ที่ต้องตรวจสอบ ..นี่เคยลองคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เล่นๆ ถามว่า พัสดุอะไร มันตอบว่า เป็นพาสปอร์ตปลอมจำนวนหนึ่ง ก็บอกให้ส่งหมายศาลมา ถ้าหมายศาลไม่มาแปะหน้าประตูบ้าน อย่าหวังว่าจะเชื่อ ..บางทีก็บอกว่า พัสดุผิดกฎหมาย (แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร) ต้องมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยทำเนียนจะให้วิดีโอคอลคุยกับตำรวจเก๊ จริงๆ ก็น่าเปิดหน้าคุยแล้วแคปรูปไว้ส่งตำรวจจริงอยู่

เคยเจอจะให้คุยกับตำรวจ เลยถามไปว่า “วิธีการตรวจสอบเส้นทางการเงินเป็นอย่างไร” คำตอบคือให้โอนเงินเข้าบัญชีนี้มาจะตรวจสอบเป็นส่วนๆ ก็เลยถามไปว่า “แล้วคุณจะตรวจอย่างไร เบิกเงินไปแล้วนั่งเบิ่งเอาเหรอว่า ธนบัตรพวกนี้มาจากไหน มันไม่รู้ เอางี้ ถ้าอยากตรวจเส้นทางการเงิน เอาอีเมลหรือเบอร์แฟกซ์มา เดี๋ยวจะส่งสเตตเมนต์ไปให้ แต่ไม่ส่งเงินไปให้ ตราบใดที่ไม่มีหมายเรียกจากศาล หรือถ้าเป็นตำรวจก็ส่งหมายเรียกมาให้ไปรายงานตัว สภ.ไหนก็ได้ เราจะรีเช็กคุณอีกทาง” เรียกว่าคาถาที่นึกออกง่ายๆ คือ “ให้ส่งหมายเรียกหรือหมายศาล” แต่ทางที่ดี คือถ้าเป็นระบบอัตโนมัติบอกว่า คุณมีปัญหากับหน่วยงานไหน ให้กดตัดสายไปเลย เสียเวลาคุย

แก๊งคอลเซ็นเตอร์เดี๋ยวนี้ก็พัฒนารูปแบบไปมาก มีการส่งโปรแกรมอะไรสักอย่างผ่านลิงก์ เพื่อดูดข้อมูลจากโทรศัพท์เราได้ ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ลิงก์จากคนรู้จักไว้ใจได้ ห้ามกดเด็ดขาด ลิงก์พวกนี้หลังๆ ไปแพร่หลายตามเพจข่าวหลายๆ เพจ ทำทีเป็นรีพลายให้กดลิงก์เพื่อเข้าไปดูคลิปข่าว อันนี้ก็ห้ามกด ..

Thieves wear a black hat, hold the phone and a smart card on gray

ส่วนพวก โรแมนซ์สแกม หรือพวกหลอกให้รักแล้วโอนเงินให้ ก็ยังมีบ้างประปราย ประเภทว่าแชตมาว่ารักนักรักหนา จะส่งของมาให้แต่ติดอยู่ที่ศุลกากร ต้องโอนเงินเข้าบัญชีม้าก่อนแล้วถึงจะได้ของ … ถ้าจำไม่ผิด เมื่อก่อนพวกนี้เขาเรียกแก๊งเงินดำ คืออ้างว่าส่งเงินมา แต่ใช้สารอะไรเคลือบให้มันดำเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับ ขอให้โอนเงินไปดำเนินการก่อนแล้วจะได้เงินนั้นแน่ๆ..พวกนี้หากินกับความโลภและความฝันของคน ..อย่าปฏิเสธเลยว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยรักสบาย อยากได้คู่สมรสเป็นต่างชาติ เพื่อยกระดับฐานะ ก็เลยโดนหลอกเอาง่ายๆ

ไหนๆ ก็จะเลือกตั้งแล้ว อยากดูว่า พรรคไหนประกาศนโยบายสงครามกับมิจฉาชีพและยาเสพติดบ้าง เพราะมันบั่นทอนสังคมทั้งสังคม ส่วนคนไทยตอนนี้ก็ต้องระวังตัวไว้ตลอดเวลา เล่ห์มิจฉาชีพมีเยอะ หวังพึ่งพาตำรวจ บางครั้งมันกลายเป็นเสียค่าโง่ไปแล้ว จะเยียวยาอย่างไรก็ยาก เพราะ “โอนไปเอง” ทำได้แค่ยึดทรัพย์กลับมาคืน

สมัยรัฐบาลทักษิณ เคยประกาศสงครามกับผู้มีอิทธิพลมาแล้ว นี่อยากเห็นมาก “การประกาศสงครามกับมิจฉาชีพ” พรรคไหนจะทำ และจะดำเนินการอย่างไร

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”