ผู้คนแห่ส่งกำลังใจให้คุณหมอหนุ่มอายุเพียง 28 ปี ชื่อ อ.นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล ซึ่งสอนอยู่ ม.เชียงใหม่ หลังทราบข่าวการป่วยเป็น มะเร็งปอดระยะสุดท้ายหรือระยะลุกลามกันล้นหลาม ภาวนาให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับคุณหมอ จากที่หมอโพสต์เล่า หมอเป็นชายหนุ่มที่โคตรแข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารคลีน ดูแลสุขภาพอย่างดี แม้ก่อนตรวจพบ ยังเล่นกีฬาอยู่เลย ที่สำคัญคือ ไม่สูบบุหรี่ แต่ภาพที่ผู้คนเห็นน่าตกใจมาก ปอดข้างขวาเหลือแค่ครึ่งเดียว ปอดข้างซ้ายมีก้อนเล็ก ๆ เต็มไปหมด กระจายไปเยื่อหุ้มปอดด้วย เหนืออื่นใด คุณหมอกำลังจะแต่งงาน มีอนาคตที่สดใสมั่นคง เป็นกำลังสำคัญของชาติ แล้วเกิดอะไรขึ้บกับคุณหมอ

มีบางเพจขุดคุ้ยแล้วบอก เป็นเวรกรรม เพราะหมอเห็นต่างทางการเมือง นัยว่าเป็นพวก “ชังชาติ” อะไรประมาณนั้น กีฬาสีที่หยั่งรากลึกมานานกว่าทศวรรษ ทำให้สังคมไทยขาดซึ่ง “เมตตาธรรม” อย่างรุนแรง ต่อให้มาตายต่อหน้า ก็ไม่สน ไม่น่าเชื่อ แต่เป็นไปแล้ว

กฤตไท ธนสมบัติกุล : อาจารย์แพทย์ ผู้ต่อสู้มะเร็งปอดระยะสุดท้าย  หวังมอบพลังใจให้ผู้คนมีชีวิตอยู่ต่อ - มติชนสุดสัปดาห์

มันไม่ใช่เวรกรรมหรอก คุณหมอจบเชียงใหม่และอยู่เชียงใหม่เป็นสิบปี ไม่สูบบุหรี่ ใครก็รู้ว่า เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีปัญหามลพิษมากสุดจังหวัดหนึ่ง โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่แทบกลายเป็นมลพิษประจำถิ่นแบบโควิด ซึ่ง รบ. ประกาศเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว แต่ยารักษาอย่าง โมลนูพิราเวียร์ แพกซ์โลวิด หรือฟาวิฯ กลับเป็นยาสงวน ต้องให้หมอสั่งเท่านั้น ซื้อหาตามร้านขายยาไม่ได้ รบ. อ้างกลัวคนไทยได้ยาปลอม ทั้งที่ควรเป็นยาที่หาซื้อได้แบบฟ้าทะลายโจรแล้ว จึงอย่าไปเชื่อ รบ. ว่า โควิด โรคชิลชิล

แค่ชิลตรงมียาพร้อม ไม่หายากแบบตอนแรก หมอรักษาเก่งแล้วแต่ใครติดโควิด ยังยุ่งยาก เสียเวลา เงินทอง และจิตตก เมื่อ “2 ขีดหลอน” ไม่มากก็น้อย เพราะงั้น การ์ดอย่าเพิ่งตก หน้ากาก แอลกอฮอล์ ฟ้าทะลายโจร ต้องติดตัว ติดบ้าน ยิ่งอากาศเปลี่ยน ติดโควิดง่าย ๆ เรา..เป็นแล้วเลยเป็นห่วงนะ ท่านผู้อ่าน อ้าว ล่าสุด นายกฯฮุนเซน ก็ติดโควิดอีก

กลับมาเคสคุณหมอกฤตไท ทำให้ วิกฤติฝุ่น PM 2.5 กลับมาหลอนคนไทยอีกครั้ง ทั้งที่เป็นปัญหา “มลพิษซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซากมา 5-6 ปีแล้ว” บางปีหนักขนาดมองท้องฟ้าใน กทม. เหมือนมีหมอกสีเทาปกคลุมหนาหลายวัน แต่ไม่มีมาตรการรับมือหรือป้องกันอะไรเลย นอกจากเอาน้ำฉีดฝุ่นบนพื้นถนนให้น้อยลง พอ PM 2.5 คลายลง รบ. 3 ป. ก็แทบไม่พูดถึงอีกเลย แม้แต่ประชุม APEC ที่ กทม. ซึ่งผู้นำไทยอยากโชว์ตัวมาก พยายามส่องดูว่า จะมีการพูดถึง PM 2.5 หรือไม่ ก็ไม่พบซักวาระเลย ทั้งที่เราเป็นเจ้าภาพ กำหนดวาระประชุมได้ น่าเสียดายโอกาสที่ผ่านเลยไป

จึงช่างเป็น APEC ที่ว่างเปล่าซะนี่กระไร?!?

ที่มาพูดถึงฝุ่น PM 2.5 โยงเคสคุณหมอ ไม่ได้คิดเองนะ อ.สนธิ คชวัฒน นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชื่อดัง ยืนยันผลวิจัยในอังกฤษ เกาหลีใต้ ไต้หวัน พบว่าผู้ที่หายใจเอาฝุ่น PM 2.5 ไมครอนเข้าไปเป็นประจำจะกระตุ้นให้เซลล์ในระบบทางเดินหายใจผิดปกติ “กลายพันธุ์” หรือเกิดภาวะเปลี่ยนแปลงในยีนชนิด EGFR18% และยีนชนิด KRAS 33% ซึ่งก่อให้เกิด “มะเร็งปอด” ได้ง่ายขึ้นและลุกลามอย่างรวดเร็วทั้งที่ไม่ได้สูบบุหรี่หรือติดเชื้อใด ๆ ที่สำคัญ อ.บอกว่า เชียงใหม่ ที่ อ.สารภี อ.หางดง และจังหวัดแม่ฮ่องสอน อ.ปาย มีค่าเฉลี่ยรายปีของฝุ่น PM2.5 สูงสุดในประเทศโดย อ.สารภี มีผู้ป่วยมะเร็งปอดมากที่สุด และมีก๊าซเรดอน (สารกัมมันตรังสีที่มีอยู่ทั่วไป ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น อีกปัจจัยก่อมะเร็งปอด) จากพื้นดินค่อนข้างสูง เพราะมีการเผาเศษวัชพืชและวัสดุเหลือใช้ทางเกษตรในช่วงใกล้ฤดูร้อนสูงมาก นี่ไม่ใช่เรื่องเวรกรรมแน่?!?

ขณะที่ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์เผยว่า มะเร็งปอดทำให้คนไทยเสียชีวิตถึงปีละ 14,586 รายหรือ 40 รายต่อวัน ไม่น้อยเลยนะ ปัจจัยเสี่ยง นอกจาก การสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ สัมผัสสารก่อมะเร็ง เช่น ก๊าซเรดอน แร่ใยหิน ควันธูป ควันจากท่อไอเสียแล้วคือมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะPM 2.5 มะเร็งปอดจึงไม่ใช่ เรื่องเวรกรรม แต่มี PM 2.5 ที่เป็น มัจจุราช (ไม่) เงียบ คอยฉุดคร่าชีวิตคนไทยมาหลายปีแล้ว อย่าโยนให้ กทม.ต้องเป็นเจ้าภาพคนเดียว มันเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ รบ.3 ป. ไม่เคยสนใจ เอาจริงเอาจังแก้ไขแม้แต่น้อยนิด

แต่ยังอยากอยู่ต่อ…โดยไร้จุดหมาย นี่ล่ะ เวรกรรมคนไทย ของจริง

——————-
ดาวประกายพรึก