แม้ว่าไทยจะได้ขยับลดอันดับประเทศที่ปล่อยขยะลงสู่ท้องทะเลจากอันดับ 6 ลงมาที่อันดับ 10 จากการจัดอันดับล่าสุด แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาขยะพลาสติกที่กระจายตัวอยู่ในท้องทะเลจะหมดลง เพราะการแก้ไขปัญหาเพียงประเทศเดียวลำพังยังไม่ใช่คำตอบของทั้งหมด

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งนอร์เวย์ หรือ SINTEF ระบุว่า แต่ละปีมีขยะพลาสติกราว 13 ล้านตัน เล็ดลอดลงสู่มหาสมุทร ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลทั้งด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เศรษฐกิจ และสุขภาพของผู้คน และยังคาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะทวีคูณเพิ่มเป็น 3 เท่าภายในปี ค.ศ. 2040 และหากไม่มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ขยะพลาสติกราว 12 พันล้านตัน จะทับถมหรือเล็ดลอดสู่ระบบนิเวศทางธรรมชาติในปี 2050

ความร่วมมือในระดับนานาชาติ คือ กุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการแหล่งสร้างขยะพลาสติกสู่ท้องทะเล และเป็นที่มาของการประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยการจัดการพลาสติกในมหาสมุทรให้กลายเป็นโอกาสในเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ “The Ocean Plastic Turned into an Opportunity in Circular Economy (OPTOCE) Regional Forum” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานคร โดยสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งนอร์เวย์ (Norwegian Foundation for Scientific and Industrial Research: SINTEF) ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศนอร์เวย์ ผ่านทางสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแห่งนอร์เวย์ (The Norwegian Agency for Development Cooperation: NORAD) เพื่อหาโซลูชั่นการรับมือกับปัญหาดังกล่าวของ 5 ชาติพันธมิตรในเอเชียทั้งไทย จีน อินเดีย เมียนมา และเวียดนาม รวมถึงค้นหาโอกาสและอุปสรรคในการมีส่วนร่วมของอุตสาหกรรมซีเมนต์ในการบริหารจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทยและทั่วภูมิภาค

โครงการ OPTOCE เป็นส่วนหนึ่งของแผนการรับมือมลพิษขยะและไมโครพลาสติกในทะเลของประเทศนอร์เวย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal: SDG) ข้อที่ 14.1 ซึ่งระบุว่า โลกของเราควรป้องกันและลดปริมาณขยะในท้องทะเลทุกประเภทอย่างจริงจังภายในปี ค.ศ. 2025

โครงการ OPTOCE ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2019 เพื่อมุ่งนำเสนอแนวทางและโซลูชั่นใหม่ ๆ ในการบริหารจัดการขยะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ตลอดจนสำรวจความเป็นไปได้ในการระดมพันธมิตรทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนในการเก็บรวบรวมขยะพลาสติกตามแหล่งมลพิษ ลุ่มแม่นํ้าสายหลัก และพื้นที่ริมชายหาด รวมถึงการแปลงขยะพลาสติกเป็นแหล่งพลังงานสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงในท้องถิ่น แนวทางเหล่านี้จะสามารถช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่จะถูกทิ้งลงแหล่งนํ้า เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการขยะ และสร้างทางเลือกใหม่ที่คุ้มค่าและยั่งยืนในระบบการบริหารจัดการขยะแบบบูรณาการในกลุ่มประเทศพันธมิตรทั้ง 5 ของเอเชีย

ดร.คอเร เฮลเก คาร์สเตนเซน

ดร.คอเร เฮลเก คาร์สเตนเซน (Dr Kååre Helge Karstensen) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และผู้จัดการโครงการ OPTOCE SINTEF Community Norway วิทยากรหลักของการประชุม กล่าวว่า ความร่วมมือจากนานาชาติถือเป็นกุญแจสำคัญของการบริหารจัดการแหล่งขยะพลาสติกในท้องทะเล ประมาณการว่าทั่วโลกมีปริมาณพลาสติกผลิตใหม่ราว 9.3 พันล้านตัน ในปี 2019 ซึ่งในจำนวนนี้ กว่า 6.3 พันล้านตัน จะกลายเป็นขยะพลาสติก ประเมินว่ามีการนำไปรีไซเคิลเพียง 9% ถูกนำไปเผา 12% และถูกทิ้งไปเฉย ๆ ถึง 79% หากแนวโน้มการผลิตและการบริหารจัดการขยะพลาสติกยังคงดำเนินไปเช่นในปัจจุบัน คาดว่าจะเกิดขยะพลาสติกราว 12 พันล้านตันทับถมหรือเล็ดลอดสู่ระบบนิเวศทางธรรมชาติในปี 2050

“โครงการนี้เน้นความสำคัญที่แนวทางการบริหารจัดการขยะที่ขาดประสิทธิภาพของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและเขตเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกับลุ่มแม่นํ้าสายหลักของโลก พื้นที่กองขยะ/ฝังกลบ และศูนย์รวมโรงงานอุตสาหกรรม เพราะประเมินว่าขยะบริเวณชายหาดและในทะเลมากกว่า 80% มาจากแหล่งผลิตบนแผ่นดิน ซึ่งประเทศในเอเชียติดอันดับกลุ่มประเทศที่ปล่อยขยะและไมโครพลาสติกลงสู่ท้องทะเลสูงสุดของโลก ซึ่งการประชุมนี้ได้ร่วมค้นหาแนวทางการมีส่วนร่วมของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ในประเทศเหล่านี้ เพื่อลดปริมาณการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ท้องทะเล”

เป้าหมายการทำงานร่วมกันในโครงการ OPTOCE จะประกอบด้วย การลดปริมาณขยะในทะเลและมหาสมุทร ที่ก่อกำเนิดขึ้นจากกิจกรรมบนบก ส่งเสริมการประสานงานและความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้มีส่วนร่วมทางธุรกิจต่าง ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน และส่งเสริมงานวิจัยเพื่อสนับสนุนนโยบายและการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

ดร.คอเร ระบุว่า ประเทศเหล่านี้ผลิตขยะพลาสติกราว 217,000 ตันต่อวัน หรือ 79 ล้านตันต่อปี โดยมีการปล่อยพลาสติกสู่ทะเลในปริมาณสูงสุดแต่มีขยะพลาสติกน้อยมากที่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยประเทศเหล่านี้มีอัตราการผลิตสูงสุดในอุตสาหกรรมประเภทปูนซีเมนต์ เหล็กกล้า และพลังงานไฟฟ้าที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหิน ดังนั้นจึงมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณสูงด้วยเช่นกัน การจัดการขยะพลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ ด้วยกระบวนการเผาร่วมเพื่อทดแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ก่อให้เกิดโอกาสดีกับทุกฝ่าย (win-win) โดยจะได้ช่วยป้องกันไม่ให้พลาสติกรั่วไหลไปยังทะเลและมหาสมุทร ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลถ่านหินลงได้เป็นจำนวนมาก และในทางอ้อม ก็ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยหลีกเลี่ยงการสร้างเตาเผาขยะใหม่หรือสร้างบ่อขยะเพิ่มขึ้น โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า การเผาร่วม หรือ Co-processing ในเตาเผาปูนซีเมนต์ หรือการบริหารขยะอย่างบูรณาการ หรือ Integrated Waste Management

หลังทำความสะอาดขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้แล้วจะทำการแยกประเภทเพื่อนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงในการเผาทำปูนซีเมนต์แทนเชื้อเพลิงถ่านหินที่ใช้อยู่เดิม ซึ่งถือเป็นหนึ่งแนวทางในการจัดการกับขยะพลาสติกไม่ให้ลงสู่ท้องทะเล ทั้งยังเป็นการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลไปพร้อมกันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ใช่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่จะมีการแก้ไขปัญหานี้ แต่ยังรวมถึงภายในกลุ่มประเทศ ทั้ง 5 ของเอเชียด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน.

อธิชา ชื่นใจ