ถูกจับตามอง สำหรับ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ อีกหนึ่งเมมเบอร์ของวงได้ประกาศจบการศึกษาจาก BNK48 อย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ล่าสุดได้มีผลงาน “ณ ขณะเหงา The Broken Us” ทางช่อง Thai PBS คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดมีนัดพูดคุยกับ “เจนนิษฐ์” ถึงการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ จากนักเรียนวัยใส เป็นสาวสุดแซ่บ และเส้นทางต่อไปในวงการบันเทิงหลังจากนี้ ว่าอยากสะสมชั่วโมงบิน และทำอะไรที่ท้าทายตัวเองมากขึ้น

ซีรีส์ “ณ ขณะเหงา” ออกอากาศไปแล้ว ฟีดแบ็กเป็นยังไงบ้าง?

“ผลงานออกมาไม่เหมือนที่คิดไว้ ค่อนข้างจะเกินคาด ส่วนแฟนคลับชอบกันค่ะ เพราะภาพสวยมาก ๆ ส่วนวิธีการเล่าเรื่องค่อนข้างเซอร์ไพร้ส์นิดนึงว่าก็มีความคอมเมดี้เหมือนกัน เราคิดว่าจะดราม่ากว่านี้”

บทบาทของเจนนิษฐ์?

“ในเรื่องรับบทเป็นใยไหมค่ะหญิงสาวแซ่บ ๆ คนหนึ่ง มีอาชีพเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน มีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างฉูดฉาด ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ เพราะไม่อยากผูกมัดกับใคร ไม่มีเพื่อนสนิท ก็ค่อนข้างจะไกลตัว ตอนอ่านบทตอนแรกก็ค่อนข้างเซอร์ไพร้ส์ ซึ่งก็เป็นเรื่องดี จะได้แตกต่างจากบทอื่น ๆ ที่เคยเล่นมา ก็จะปรึกษาพี่ เก้า วิรดา ผู้กำกับ ว่าอยากให้เราไปในทิศทางไหน แต่พอได้เล่นจริง ๆ ก็ยากมาก เพราะเราก็จะรับบทนักเรียนเสมอมา วัยใกล้กับตัวจริงเราตลอด ซึ่งเรื่องนี้กระโดดไปไกลมาก ห่างกับตัวจริง 5 ปี”

สีผมจัดจ้านมาก?

“หนูคิดเองค่ะ แล้วก็ไปเสนอผู้กำกับ แล้วเขาเห็นด้วย ก็เลยทำสีผมตามนี้ เพราะใยไหมก็จะพยายามสร้างคาแรกเตอร์ภายนอกของตัวเองว่าเป็นคนแข็งแกร่ง เพื่อปกปิดปมของตัวเอง เราก็เลยคิดว่าน่าจะทำสีผมสักหน่อย ซึ่งในชีวิตจริงหนูก็เปลี่ยนสีผมไปเรื่อย ๆ แล้วแต่งาน และซิงเกิลที่จะปล่อย จะมีสีแดง ดำไฮไลต์ทอง ผมเทา ผมน้ำตาล หนูรู้สึกว่าเราอยากเปลี่ยนไปตามงานที่เราได้รับ”

โชว์สกิลการเป็นนักศิลปะ?

“จริง ๆ ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่นะคะ แต่ไปเวิร์กช็อปให้เหมือนว่าทำเป็น เพราะเราไม่สามารถวาดรูปเป็นได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่หนูก็มีออกแบบโลโก้ร้านกาแฟ ที่เป็นโลเคชั่นในเรื่อง ซึ่งวันเวิร์กช็อปเราได้ลองวาดรูปผีเสื้อ ก็เลยใช้ภาพนั้นเลย”

การร่วมงานกับเพื่อน ๆ นักแสดง เอม-ภูมิภัทร , แม็ค-ณัฐพัชร์ ?

“ทุกคนทำงานกันเก่งมาก ๆ เลย (ยิ้ม) อันนี้พูดจริง ๆ ซึ่งปกติจะได้ทำงานฉายเดี่ยว เรื่องนี้มีเพื่อนเล่นด้วย ก็สนุกสนานดีค่ะ จริง ๆ ก่อนหน้านี้พี่เอมเคยมาเล่นเอ็มวีให้หนูด้วย แต่ว่าเห็นแค่มือ เจอกันประมาณ 5 นาที ก็ไม่มีใครรู้เลยถ้าหนูไม่ได้บอก (หัวเราะ) ส่วนกับน้องแม็ค เป็นการเจอกันครั้งแรก เราเห็นน้องมาตั้งแต่เด็ก ๆ มาถึงวันนี้ได้ร่วมงานกันแล้ว โตไวเวอร์”

นอกจาก ซีรีส์ “ณ ขณะเหงา” มีอะไรให้ติดตามกันอีก?

“กำลังจะมีหนังเรื่อง Cheese Sisters ค่ะ แล้วก็ยังมีคอนเสิร์ตสุดท้ายกับ BNK48”

ล่าสุดประกาศจบการศึกษาจาก BNK48 แล้วเป็นยังไงบ้าง?

“ช่วงนี้ร้องไห้บ่อยค่ะ ตอนประกาศจบการศึกษาก็ร้อง ช่วงนี้จะมีหลาย ๆ ฟิลลิ่ง อย่างคอนเสิร์ตล่าสุดทุกคนก็ร้องไห้ เราอยู่กับ BNK48 มา 6 ปี ก็เหมือนเรียนจบมัธยม ที่ผ่านมาเราก็ได้ประสบการณ์จาก BNK48 เยอะมาก ถือว่าคุ้มมากสำหรับหนู สิ่งที่สำคัญสำหรับหนู คือ เมมเบอร์ พวกเขาคือเพื่อนที่เข้าใจเรามากที่สุดแล้ว ทุกคนเจอสิ่งเดียวกัน เหมือนกัน เริ่มมาจากศูนย์ด้วยกัน ไม่มีใครเข้าใจเราเท่าเมมเบอร์แล้ว อยู่ด้วยกันมากกว่าพ่อแม่อีก อยู่ด้วยกัน ทั้งวัน ทั้งคืน แล้วก็ได้เจอแฟนคลับที่ทำอะไรให้เราเยอะมาก บางคนเขาก็เต็มที่มาก ๆ พร้อมที่จะซับพอร์ตเราทุกอย่างเลย”

เป้าหมายในวงการบันเทิง?

“เราอยากเก่งขึ้น อยากมีผลงานดี ๆ ที่ทำให้เราเก่งขึ้น และพัฒนาขึ้น อยากทำพิธีกร เป็นดีเจ ทำพอร์ตแคส ละครเวที หนูอยากจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพราะเราเทียบกับคนอื่น เรายังถือว่าชั่วโมงบินน้อยมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ยังไปไม่ถึงไหน เลยอยากทำอะไร
ใหม่ ๆ ที่ได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น”

นิยามตัวตนของเจนนิษฐ์?

“เอาจริง ๆ หนูค่อนข้างจะเป็นตัวเองสุด ๆ เลย คนที่เห็นเราก็จะเห็นตัวจริงของเราไปซัก 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ตัวจริงหน้ากล้องกับหลังกล้องเราค่อนข้างเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่บทบาทในละคร เราไม่สามารถฝีนตัวเองได้ เราเป็นคนที่มีอะไรก็บอก ก็พูด อาจจะมีเมมเบอร์บางคนที่เป็นสายหวาน ๆ ขี้อ้อน แต่เราทำไม่ได้ก็จะบอกว่าทำไม่ได้ อย่างเรื่องบอกรักแฟนคลับหนูไม่เคยทำเลย แต่แฟนคลับก็จะรู้นะคะว่าวิธีการตอบแทนของเราก็คือเราจะตั้งใจทำงาน”

นับจาก BNK48 คิดไหมว่าจะอยู่ในวงการมาถึงตอนนี้?

“หนูคิดว่าหนูจะอยู่จนจบสัญญามาตลอดนะคะ ไม่คิดว่าจะประกาศจบการศึกษาก่อน อันนี้ก็หมดสัญญาพอดี ปีนี้อายุ 22 ปี อาจจะช้าไปหน่อย แต่คิดว่ายังมีเวลาอยู่”

เวลาท้อ ๆ ให้กำลังใจตัวเองยังไงบ้าง?

“เงินค่อนข้างเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ (หัวเราะ) หนูชอบทำงาน ไม่ค่อยท้อเลย คือ เหนื่อย กับ ท้อ ไม่เหมือนกัน หนูทำงานอาจจะเหนื่อย แต่เป็นระดับที่เราทนไหว ไม่ได้ท้ออะไร ไม่ค่อยมีอะไรให้ท้อใจเท่าไหร่ค่ะ เพราะเป็นงานที่เราชอบ เราก็เลยทำเต็มที่”

แรงผลักดัน?

“หนูอยากรวย และใช้ชีวิตให้ได้เต็มที่ อยากพาแม่ไปเที่ยว อยากทำโน่น ทำนี่ อยากให้เขาได้กินอะไรดี ๆ ใช้ชีวิตสบาย ๆ หน่อย แต่เราก็บอกเป็นตัวเงินไม่ได้หรอกค่ะ ว่าต้องมีเท่าไหร่ แต่พอรวยแล้วจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ อย่างน้อยมันก็ซื้อความสะดวกสบายได้ ถ้าป๊ากับแม่อยากทำธุรกิจต่อ ก็คงเอาเงินไปช่วย จะรีโนเวตร้านใด ๆ ก็ว่าไป อยากสร้างบ้านใหม่ก็สร้าง เรื่องมีครอบครัว เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะแต่งงานสัก 28 แต่ตอนนี้คิดว่า 38 ก็อาจจะยังไม่ได้แต่ง (หัวเราะ) แม่มีลูกตอน 30 รู้สึกว่าแม่มีลูกช้าเกินไป ก็เลยคิดว่าเราต้องแต่งก่อน แต่ดูทรงแล้วคงแต่งช้าลงทุกวัน ตอนนี้ 22 แล้ว 30 กว่าคงยังทำงานอยู่แน่นอน”

สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงแฟนคลับไหม?

“ไม่มีอะไรจะบอกค่ะ นอกจากขอบคุณจริง ๆ มีเหตุการณ์ประทับใจเกิดขึ้นมากมาย อย่างล่าสุด ก็ประทับใจแบบแปลก ๆ ดี ตอนประกาศจบการศึกษา แฟนคลับก็เอาดอกบัวช่อใหญ่มากมาให้หนูอธิษฐาน แล้วเอาไปถวายที่วัด สุดยอดเลย ถึงแม้เราจะไม่เคยบอกรักแฟนคลับบ่อย ๆ พร่ำเพรื่อ แต่เราบอกผ่านการกระทำเสมอ แล้วจะมาก่อนหรือมาหลังเราก็รักเท่ากัน แต่อาจจะไม่ได้บอกรายคน หรือเป็นแนวอ้อน”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง