เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่กำลังโกยความนิยมอย่างล้นหลาม พร้อมมอบประสบการณ์อันแปลกใหม่ ให้กับคอซีรี่ส์เกาหลี สำหรับ “The Witch’s Diner (เดอะ วิชส์ ดินเนอร์)” ซีรี่ส์แนวดาร์คแฟนตาซี  ทาง WeTV ที่ได้ ซงจีฮโย ซูเปอร์สตาร์ตัวแม่ ที่มารับบทแม่มดสาวสุดโหด ที่มาพร้อมเสน่ห์เกินต้าน “โจฮีรา”  ร่วมด้วยนักแสดงมากฝีมือ อย่าง นัมจีฮยอน  ที่มารับบท “จองจิน” หญิงสาวที่ชีวิตพบแต่ความล้มเหลวทั้งเรื่องรักและหน้าที่การงาน เธอเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น จนได้มาเจอกับ “แม่มดโจฮีรา” และนักแสดงขวัญใจสาว ๆ ที่กำลังมาแรงจากซีรี่ส์ “Nevertheless” อย่าง แชจงฮยอบ  ที่จะมารับบท “อีกิลยง” อดีตนักกีฬากรีฑาระยะไกล ที่ความฝันพังทลายอย่างไม่คาดคิด และได้มาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารของ “แม่มดโจฮีรา” งานนี้ “ฮาอึน” จึงไม่พลาดนำเรื่องราวเกี่ยวกับซีรี่ส์เรื่องนี้มาฝากกัน

สำหรับ  “The Witch’s Diner”  สร้างจากนิยายนิยายขายดี  “Come to the Witch’s Restaurant” เขียนโดย นักเขียนชื่อดัง กูซังฮี  ผลงานผู้กำกับร่วม อย่าง โซแจฮยอน หัวหน้าของโปรดิวเซอร์ของ tvN ที่มีซีรี่ส์ยอดฮิต อย่าง “Stranger” และ “It’s Okay to Not Be Okay” แท็คทีมกับ อีซูฮยอน ผู้กำกับซีรี่ส์แนวทริลเลอร์  “Awaken” และ “Find Me in Your Memory”

โดย The Witch’s Diner” บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่ล้มเหลวในชีวิต “จองจิน” (นัมจีฮยอน) ที่ถูกทิ้งไว้กับร้านอาหารที่กำลังล้มละลาย ซึ่งเธอเคยเปิดร่วมกับแม่ของเธอ แต่แล้ววันนึงหญิงสาวลึกลับ  “โจฮีรา” (ซงจีฮโย) ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมยื่นข้อเสนอให้เธอมาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ  เปิดร้านอาหารใหม่  ร่วมด้วย “อีกิลยง” (แชจงฮยอบ  ) ที่เข้ามาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ของร้านนี้  

สำหรับร้านอาหารนี้เสนอบริการที่แปลกประหลาด โดยเปิดให้บริการตอนตะวันตกดินจนถึงก่อนรุ่งสาง  และต้อนรับลูกค้าเพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น  โดยลูกค้าที่จะมองเห็นร้านนี้ ต้องเป็นคนสิ้นหวัง แค้นใจ หรือไม่ก็โลภมาก และจากการใช้พลังแม่มดของเธอ “โจฮีรา” เธอได้ขายอาหารเวทย์มนต์ ทำให้ลูกค้าทุกคนสมความปรารถนาในทุกอย่าง แต่ต้องจ่ายราคาด้วยการแลกในสิ่งที่เธอเรียกร้อง และแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิศมัยแน่นอน

ซึ่งธุรกิจนี้ดำเนินกิจการไปท่ามกลางการได้พบเจอกับลูกค้าที่หลากหลาย  และแต่ละคนก็ล้วนมีเรื่องราวของตัวเองที่อยากบอกเล่า ซึ่งแฝงไปด้วยแง่คิดมากมาย รวมทั้งสะท้อนชีวิต เสียดสีสังคม

ล่าสุดเหล่านักแสดงนำและทีมผู้กำกับ ได้เปิดใจถึงการทำงานครั้งนี้ในงานแถลงข่าวทางออนไลน์ เริ่มที่ผู้กำกับ โซแจฮยอน เผยว่า “สำหรับ ‘เดอะ วิชส์ ดินเนอร์’ ตั้งอยู่บนพื้นฐานคอนเซ็ปต์ดาร์ค แฟนตาซี มันเหมือนเป็นกระเช้าของขวัญที่มีของหลากหลาย ใส่ความโรแมนติก สยองขวัญ สะเทือนอารมณ์ อบอุ่นหัวใจ และเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ ผมเข้าร่วมโปรเจ็คนี้ เพราะหลงรักนิยายเรื่องดังกล่าวและบท ผมอยากเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้โลกได้รู้ครับ”

ในส่วนคาแรกเตอร์ของ “โจฮีรา” นั้นเป็นแม่มดปากร้าย ที่ดูเหมือนเย็นชา แต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดผู้คนว่า ซงจีฮโย เผยถึงการมารับบทครั้งนี้ว่า “ฉันสนใจซีรี่ส์แนวแฟนตาซีค่ะ และฉันเองก็อยากลองถ่ายทอดบทบาทที่มีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่น ดังนั้นเมื่อฉันได้อ่านบทนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าควรจะรับซีรี่ส์นี้จริง ๆ ฉันรู้สึกตกหลุมรักมันเลย” และเธอยังบอกอีกว่า “ฉันอยากแสดงซีรี่ส์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายต้นฉบับ  และความคิดในการทำโปรเจ็คต์แนวแฟนตาซีนี้ก็ดึงดูดใจฉันมาก รวมทั้งฉันก็อยากที่แสดงบทบาทที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละคร  ตอนที่ได้อ่านบท ฉันคิดเลยว่าฉันต้องการแสดงเรื่องนี้  มันคงเป็นการพูดเกินจริงไปหน่อยที่จะบอกว่าฉันอยากเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (จากบทบาทครั้งก่อน ๆ)  แต่ฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ท้าทาย และฉันก็อยากทดสอบตัวเองด้วยว่าจะสามารถเปลี่ยนตัวเอง และเข้ากับคาแรกเตอร์แนวนี้ได้ดีแค่ไหน”

ขณะที่ นัมจีฮยอน บอกต่อว่า “ตัวละครของฉัน ‘จิน’ นั้นเป็นคนที่มีอารมณ์หลากหลายมาก และเธอก็ดูแลผู้คนด้วยความอบอุ่น”  รวมทั้งเธอยังบอกอีกว่าการผสมผสานแนวต่าง ๆ นั้น ทำให้ซีรี่ส์เรื่องนี้น่าสนใจมากกว่าซีรี่ส์แนวลึกลับสยองขวัญเรื่องก่อน ๆ “ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นซีรี่ส์ที่อบอุ่นหัวใจเกี่ยวกับผู้คน แต่บางอย่างที่พวกเขาต้องจ่ายคืน เพื่อแลกกับสิ่งที่ปรารถนานั้นน่ากลัวมาก ๆ  รูปแบบที่แตกต่างเปลี่ยนแปรผันเหล่านี้  ผสมผสานเข้ากับเค้าโครงเรื่องหนึ่งเดียว นี่เป็นเสน่ห์ของซีรี่ส์เรื่องนี้ค่ะ”

ในส่วนความสัมพันธ์ของสาวดวงซวยแห่งปี “จองจิน”  และแม่มดสุดลึกลับ  “โจฮีรา” ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่ง ซงจีฮโย และ นัมจีฮยอน สามารถถ่ายทอดเคมีที่เข้ากันได้ดีเยี่ยม ทั้งในกองถ่ายและในฐานะนักแสดงนำร่วม นัมจีฮยอน เล่าให้ฟังว่า “ช่วงแรกเรายังไม่มีซีนที่เข้าด้วยกันเท่าไหร่ค่ะ  แต่นับจากที่เราได้เริ่มถ่ายซีนที่ร้านอาหารด้วยกัน เราก็มีช่วงเวลาที่ดีมากค่ะ มันมีซีนยาก ๆ มากมาย และก็เป็นลองเทค แต่เราก็ผ่านมันมาได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าเรานั้นถ่ายทำกันอย่างสนุกสนานมาก ๆ ด้วยกันค่ะ” ซงจีฮโย เสริมว่า “เรามีบรรยากาศที่ดีมากจริง ๆ ถึงขั้นที่ว่าฉันรู้สึกว่าฉากที่ถ่ายด้วยกันนั้นมันยังไม่พอเลยค่ะ”

ส่วน แชจงฮยอบ เผยถึงความรู้สึกต่อเรื่องนี้ว่า “ผู้คนพูดกันว่าผมเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ที่ได้รับความสนใจตั้งแต่ได้รับบทนำครั้งแรก แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงนำครับ ผมไปกองถ่ายด้วยความคิดที่ว่าผมเป็นคนที่แสดงบทบาท ‘อี กิลยง’ และผมคิดว่าคนอื่นรู้สึกกดดันกับบทบาทของพวกเขามากกว่าอีกครับ”

เขาเสริมต่อว่า “สำหรับ ‘อี กิลยง’ ไม่ใช่คนประเภทที่จะเปิดเผยทุกอย่างออกมา เขาเก็บสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ข้างในมากมาย และก็ไม่ค่อยมีใครที่คุยด้วย เขาเป็นคนชอบพยายามเอาชนะสิ่งต่าง ๆ เพียงคนเดียว ซึ่งมันก็ค่อนข้างยากนะครับ แต่ผู้กำกับก็ช่วยให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น ดังนั้นผมเลยสามารถทำมันได้”

อีกหนึ่งคนที่สร้างสีสันให้กับซีรี่ส์ ก็คือ ฮา โดควอน ที่รับบทเป็น “ซีอีโอ โอ” ซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่ได้มีอยู่ในนิยายต้นฉบับ เขาเผยว่า “ผมชอบตัวนิยายต้นฉบับและก็ตัวบทซีรี่ส์มาก ๆ  และผมก็ยังชอบที่ได้แสดงตัวละครนี้ ที่ไม่ได้มีอยู่ในตัวต้นฉบับนี้ด้วย ผมชอบทีมงานที่ผมได้ร่วมงาน และผมก็อยากที่จะทำงานร่วมกับผู้คนเหล่านี้มาก ๆ ดังนั้นผมจึงได้เลือกทำโปรเจ็กต์นี้ครับ”  นอกจากนี้ยังพูดถึงการ่วมงานกับเหล่านักแสดงว่า “ผมได้เจอกับ นัมจีฮยอน ระหว่างที่ร่วมงานในภาพยนตร์ ‘เดอะ แม็ป อเกนสท์ เดอะ เวิล์ด (The Map Against the World)’ และเจอกับ แชจงฮยอบ ในละคร  ‘ฮอต สโตฟ ลีค (Hot Stove League)’ ที่ได้รับความรักอย่างมากมาย  รวมถึงผมได้มาสนิทกับซงจีฮโย หลังจากที่ไปออกรายการ ‘รันนิ่ง แมน (Running Man)’ บ่อย ๆ ครับ”

อย่างไรก็ตามซี่รี่ส์เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีสายดาร์ค ที่คอนเซ็ปต์แรกเริ่มถูกนำมาเปรียบเทียบกับ ซีรี่ส์“โฮเทล เดล ลูน่า (Hotel Del Luna.)”  โดย โซแจฮยอน บอกว่า “โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบเรื่อง ‘โฮเทล เดล ลูน่า’ มาก ๆ แต่เราก็พยายามที่ทำให้องค์ประกอบของความแฟนตาซีนั้นแตกต่างไปจากซีรี่ส์ดังกล่าว แทนที่จะไปโฟกัสอยู่ที่การแบ่งระหว่างโลกใบนี้กับชีวิตหลังความตาย ซีรี่ส์ของเราเป็นแนวขับเคลื่อนด้วยตัวละคร (Character Driven) และเราก็อยากทำให้มันดูดึงดูดสายตาด้วยครับ ” ส่วนอีกหนึ่งผู้กำกับ อีซูฮยอน เสริมว่า “เราพยายามไม่เข้าไปยุ่งกับธีมและสารของนิยายต้นฉบับ มีการเพิ่มเติมตัวละครและสิ่งต่าง ๆ เข้าไป เนื่องจากมันมีความแตกต่างในการแสดงสิ่งเหล่านี้รูปแบบวิดิโอ และเราก็พยายามที่ทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้มันดูเรียบง่ายจนเกินไป ”

นอกจากนี้ทาง Soompi ยังได้เปิดใจ ซงจีฮโย เพิ่มเติมว่า “นิยายต้นฉบับเขียนโดย นักเขียน กูซองฮี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี และเมื่อฉันได้ยินว่าเรื่องนี้จะถูกนำมาทำเป็นซีรี่ส์ ฉันก็อยากรู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ตอนที่ฉันได้บทมาครั้งแรก ฉันรู้สึกว่าเนื้อเรื่องดึงดูดใจฉันมาก ๆ มันน่าสนใจสุด ๆ เลย และฉันก็จำได้ว่าฉันอ่านมันรวดเดียวจบอย่างรวดเร็วค่ะ สำหรับบทแม่มด “ฮีรา” เป็นคาแรกเตอร์ที่ฉันยังไม่เคยลองเล่นมาก่อน เธอมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างทรงพลัง ในตอนที่ถ่ายทำครั้งแรกฉันก็รู้สึกกึ่งกังวล กึ่งตื่นใจนะคะ เหมือนว่าแม่มดฮีรามีลักษณะภายนอกที่ทั้งน่าหลงใหลดึงดูดใจและก็น่ากลัว เล็บของเธอยาว ส่วนผมของเธอนั้นก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งคุณไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอคิดอะไรในใจ แต่บางสิ่งเกี่ยวกับตัวเธอก็ดึงดูดให้ผู้คนเข้าหาเธอ รวมทั้งความประทับใจแรก”

นักแสดงสาว ยังได้เผยถึงการเตรียมตัวมาสวมบทบาทนี้ให้ฟังว่า “ฉันพยายามสลัดความคิดทั่วไปแบบเดิม ๆ ที่เข้ามาในใจตอนที่ผู้คนคิดถึงคำว่า “แม่มด” ฉันปรึกษาพูดคุยกับทีมงานฝ่ายโปรดักชั่นและทีมสไตลิสต์ของฉันเยอะมาก ฉันใส่เครื่องประดับที่ขนาดเล็ก แต่มีรายละเอียด และไว้เล็บยาว ผมสีแดง รวมทั้งลวดลายเสื้อผ้าที่แปลกตา เพื่อมอบความประทับใจในการเป็นแม่มดในทันที แต่เธอก็เป็นคนที่ทำอาหารวิญญาณด้วย ดังนั้นฉันจึงอยากให้เธอมีความทันสมัยและดูสมจริงมากขึ้น ฉันได้ลองใส่คอนแทคเลนส์ที่เป็นสีเป็นครั้งแรกด้วยค่ะ”

สำหรับโปสเตอร์พิเศษของ The Witch’s Diner นั้นแสดงให้เห็น ซงจีฮโย , นัมจีฮยอน และ แชจงฮยอบ ในฐานะเจ้าของและลูกจ้างของร้านอาหารเวทย์มนต์  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นลูกค้าประเภทไหนโผล่เข้ามา เหล่าพนักงานก็พร้อมที่เสิร์ฟพวกเขาด้วยอาหารจานอร่อย พร้อมกับจุดเปลี่ยนที่แสนอันตราย  พร้อมสโลแกน “คุณสามารถขออะไรก็ได้ตามปรารถนา แต่ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย!”

หากทุกความปรารถนาจะกลายเป็นความจริง แต่ต้องแลกกับสิ่งที่อาจเป็น “ชีวิตหรือจิตวิญญาณ” ถ้าเป็นคุณล่ะ จะพร้อมจ่ายราคาที่แสนอันตรายนี้กับ “แม่มดโจฮีรา” มั้ย!

ฮาอึน / ภาพ (PHOTO) : TVING , STARNEWS, TOPDAILY