ตามสถิติแล้ว ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ตหลังผ่าน 8 เกมแรกได้แย่ที่สุดในรอบ 10 ปี มีแค่ 8 คะแนน จากการชนะแค่ 2 นัด เสมอ 4 และแพ้ 2

ย้อนกลับไป ซีซั่นที่แย่ที่สุดก่อนหน้านี้คือซีซั่น 2012-13 ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เก็บได้ 9 คะแนนจาก 8 นัดแรก และท้ายที่สุดพวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ของตาราง ไม่ได้แม้แต่โควต้า ยูโรป้า ลีก…

“หงส์แดง” ภายใต้การกุมบังเหียนของ เจอร์เกน คลอปป์ ในฤดูกาลนี้ เจอปัญหาสารพันตั้งแต่ต้นซีซั่น ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของอาการบาดเจ็บ เมื่อตัวหลักต่างสลับสับเปลี่ยนกันไปพบแพทย์ต่อเนื่อง การอยู่ในสภาพฟูลทีมกลายเป็นของหายากของ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้

นั่นทำให้ผลงานที่ออกมาใน 8 เกมแรกดูกระท่อนกระแท่น แฟนบอลหลายคนเริ่มถอดใจ กระทั่ง เจอร์เกน คลอปป์ เองก็บอกว่าการลุ้นแชมป์ซีซั่นนี้สำหรับพวกเขาอาจเป็นเรื่องเกินเอื้อมมือคว้าไปแล้ว

กระนั้น ถึงตรงนี้มันยังผ่านไปไม่ถึง 1 ใน 3 ของฤดูกาล “เดอะ ค็อป” หลายคนยังแอบหวังว่าหาก “จุดเปลี่ยน” เกิดขึ้นเร็ว ทีมรักของพวกเขาอาจกลับมาอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์อีกครั้ง…

และมันคงไม่มี “จุดเปลี่ยน” ใดที่จะสำคัญไปกว่าจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในเกมกับทีมคู่ปรับสำคัญที่สุดอีกแล้ว…

เกมรับมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่แอนฟิลด์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คลอปป์ หันกลับมาใช้ระบบ 4-3-3 อีกครั้ง หลังจากเลือกใช้แผนมิดฟิลด์คู่กลางแค่ 2 คนมาตลอด 2-3 เกมล่าสุด ซึ่งเชื่อว่าน่าจะต้องการให้ทีมไม่เป็นรองการดวลกันในแผงมิดฟิลด์

แต่เรื่องชวนก่ายหน้าผากคือเกมรับ ที่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเหลือแค่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โจ โกเมซ ส่วนแบ๊กขวาเมื่อ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่สมบูรณ์พอจะเป็นตัวจริง และ โกเมซ ต้องหุบเข้าไปยืนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ หน้าที่จึงตกเป็นของ เจมส์ มิลเนอร์

ก่อนเกมนี้ แม้แต่แฟนบอล “หงส์แดง” เอง เชื่อว่าหลายคนทำใจล่วงหน้า เพราะฟอร์มของผู้มาเยือนในลีกนั้นถือว่าแกร่งทั่วแผ่น โดยเฉพาะฟอร์มการลั่นกระสุนของ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ที่ยิงอุตลุดอย่างไม่หยุดยั้ง ชนิดที่ เจอร์เกน คลอปป์ ยังยอมรับว่านี่คือกองหน้าเบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบัน

แต่ในขณะเดียวกัน คลอปป์ พูดในการแถลงข่าวด้วย ว่าวิธีที่จะหยุด ฮาลันด์ คือต้องทำให้บอลไปไม่ถึงเจ้าตัว…

ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ คลอปป์ วางแทคติกให้ลูกทีมทำในเกมนี้ และครึ่งแรกมันก็เป็นไปตามนั้น ฮาลันด์ ได้บอลนับครั้งได้ โอกาสจบสกอร์ของเขามีน้อยถึงน้อยมากใน 45 นาทีแรก โจ โกเมซ ที่ใครต่อใครคาดว่าจะเป็นบ่อ กลับสวม “ร่างทอง” เล่นดีเหลือเชื่อในเกมนี้ เช่นเดียวกับ เจมส์ มิลเนอร์ ที่จับ ฟิล โฟเดน รวบใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองได้ตลอดทั้งครึ่งแรก

ลงมาในครึ่งหลัง เปป กวาร์ดิโอลา เร่งให้ลูกทีมเล่นด้วยสปีดเกมที่เร็วขึ้นอีก พวกเขาส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้จากการยิงของ โฟเดน แต่ถูกวีเออาร์ ริบเพราะ ฮาลันด์ ไปดึงเสื้อ ฟาบินโญ ก่อน ซึ่งหลังเกมฝั่ง “เรือใบสีฟ้า” โวยจังหวะนี้กันพอสมควร

แต่เมื่อผู้ตัดสินเช็ควีเออาร์ แล้วพบว่ามันมีการกระทำที่เข้าข่ายการฟาวล์ จะไม่ย้อนกลับไปให้ฟาวล์มันก็คงไม่ได้ แม้ถ้าดูด้วยตาแว้บแรกมันไม่น่าฟาวล์ แต่ทุกอย่างต้องเอากฏกติกาเข้าไปจับ และจังหวะนี้ภาพช้าก็แสดงให้เห็นว่า ฮาลันด์ ดึงเสื้อชัดเจน

แม้จะไม่ได้ประตู แต่ แมนฯ ซิตี ก็ยังครองบอลบุกใส่เจ้าถิ่นชนิดขึงพืด ทำเอา “หงส์แดง” โอนไปเอนมา แต่นั่นก็ทำให้ทั้งกองกลางและกองหลังของ “เรือใบสีฟ้า” ลอยขึ้นมาถึงครึ่งสนามเกือบจะตลอดเวลา ซึ่งเป็นจุดที่ ลิเวอร์พูล ที่ยืนหลังพิงเชือกแล้วยกการ์ดสูงเกือบตลอดครึ่งหลังนั้น ได้มีโอกาสโต้

สังเกตุได้ว่าหลายครั้งที่ “หงส์แดง” ได้ลุ้นจากจังหวะโต้กลับ เป็นการแทงบอลทางลึกให้แดนหน้าออกตัวตั้งแต่ครึ่งสนามเกือบทั้งสิ้น ไล่มาตั้งแต่ลูกที่ โม ซาลาห์ หลุดไปจิ้มติดปลายมือ เอแดร์ซอน นั่นแล้ว

จนกระทั่งมาถึงประตูนำ 1-0 ซึ่งต้องชมสายตาที่คมเหมือนเหยี่ยวของ อลิสซอน เบคเกอร์ ที่เปิดเกมเร็วให้ ซาลาห์ พลิกหนี ชูเอา กานเซโล และหลุดเดี่ยวตั้งแต่ครึ่งสนาม ซึ่งคราวนี้ดาวยิงทีมชาติอียิปต์ไม่ยอมพลาดซ้ำสอง…

พูดถึง กานเซโล นี่ถือเป็นเกมที่แย่เกมหนึ่งของเขาเลยทีเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นี่คือนักเตะที่เป็นแกนหลักของทีมมาตลอด และเป็นคนเดียวที่ออกสตาร์ตทุกนัดให้กับทีมในซีซั่นนี้ โชคร้ายตรงที่เขามาหลุดฟอร์มในเกมใหญ่ และมีส่วนที่ทำให้ทีมถึงแพ้เป็นเกมแรกของฤดูกาล

หลังเสียประตู “เรือใบสีฟ้า” โหมหนัก แต่จากการที่ โกเมซ สวมร่างทอง ทำให้เกมรับของ ลิเวอร์พูล ต้านทานเกมรุกของทีมเยือนได้ตลอดรอดฝั่งอย่างยอดเยี่ยม และสุดท้ายทีมก็ได้ 3 แต้มใหญ่ ๆ ในเกมนี้มาจนได้

อย่างที่บอกไปว่าแม้ผลงานในช่วงต้นซีซั่นจะไม่น่าพิศมัย แต่ทีมที่มีขุมกำลังและศักยภาพนั้น สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ ขอเพียงแค่ให้มีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเท่านั้น และหวังว่า 3 คะแนนเหนือ “เรือใบสีฟ้า” ในเกมนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากพอที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

ซีซั่นนี้จะได้ลุ้นกันมัน ๆ แบบยาว ๆ ไม่ใช่ไม่ถึงครึ่งซีซั่นก็หมดลุ้นเสียแล้ว แบบนั้นมันไม่สนุก…!!!

////////////////////

สถิติที่น่าสนใจในเกม ลิเวอร์พูล – แมนฯ ซิตี

  • โจ โกเมซ เก็บคลีนชีตได้เป็นเกมที่ 19 จากการลงเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวจริงคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในเกมลีกทั้งหมด 39 นัด
  • ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในเกมลีกที่แอนฟลิด์เป็นนัดที่ 28 ติดต่อกัน หลังจากก่อนหน้านั้นแพ้คาบ้าน 6 เกมติดในช่วงเดือนมกราคม ถึง มีนาคม 2021
  • แมนฯ ซิตี แพ้เกมเยือนในลีกเป็นนักแรก นับตั้งแต่บุกแพ้ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 ยุติสถิติไม่แพ้เกมเยือนในลีกเอาไว้ที่ 22 เกมติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
  • เปป กวาร์ดิโอลา คุมทีมแพ้ เจอร์เกน คลอปป์ เป็นเกมที่ 11 แล้ว โดยกุนซือ “หงส์แดง” คือคู่แข่งที่ เปป แพ้เยอะที่สุดในการเผชิญหน้ากันในฐานะกุนซือ
  • โม ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับประตูที่ทีมยิงใส่ แมนฯ ซิตี เป็นลูกที่ 14 ในทุกรายการ (9 ประตู 5 แอสซิสต์)
  • นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังไม่เคยแพ้เมื่อลงเล่นในเกมลีกที่แอนฟิลด์ โดยเกมนี้เจ้าตัวไม่แพ้เป็นเกมที่ 69 ติดต่อกันแล้ว

เครดิตภาพ : REUTERS