7 วันแล้ว หลัง ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ เกิดอาการคลุ้มคลั่งเพราะยาบ้า ใช้มีดและปืนกราดยิงเด็ก ๆ กับครูอย่างเหี้ยมโหด ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลอุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู รวมทั้งฆ่าผู้คนรายทางอย่างไร้เหตุผล ก่อนยิงตัวเองกับเมียและลูกชายตายอย่างอนาถ รวม 38 ศพ

จนแม้แต่ เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน ทั้งในหลวงและพระราชินี ก็เสด็จฯ ไปทรงปลอบประโลมหัวใจที่แตกสลายของพ่อแม่ญาติพี่น้องผู้ที่ตกเป็นเหยื่อด้วยพระองค์เองถึงที่เกิดเหตุ ทรงเมตตายิ่งแล้ว

นี่จึงเป็นโศกนาฏกรรมแห่งแผ่นดินโดยแท้

อะไรเป็นเหตุจูงใจให้อดีตตำรวจ มุ่งเจาะจงก่อเหตุร้ายแรงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนี้ ทำไมไม่ไปก่อเหตุที่อื่น ข้อสันนิษฐานเช่น ลูกถูกบูลลี่ พ่อขี้ยา ซึ่งเด็กเล็กมาก 2-4 ขวบ จะบูลลี่เป็นหรือ หรือที่ว่า ส.ต.อ.ปัญญากับแม่ เคยมาขอให้นายก อบต.ช่วยให้ได้กลับเข้ารับราชการแล้วถูกปฏิเสธ ใช่หรือไม่ หรือเครียดสะสม เครียดจากอะไร เมื่อตรวจเลือด 2 ครั้ง ก็ไม่พบยาบ้าทั้งที่มีประวัติเสพยา

แน่นอนเรื่องปืนและยาเสพติดเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เผยว่า ในช่วง 5 ปี รัฐบาลประยุทธ์ ใช้เงิน 1.3 หมื่นล้าน ซื้อปืนให้ตำรวจเพิ่มกว่า 8 หมื่นกระบอก หรือเพิ่มขึ้น 20 เท่า (ไม่รวมปืนที่ซื้อเองและปืนสวัสดิการ) เราจึงไม่ได้เป็นเมืองพุทธที่สุขสงบ หรือสยามเมืองยิ้ม หากดูสถิติชาติที่มีปืนมากสุดในโลกคือ 1.สหรัฐ 393 ล้านกระบอก 2.อินเดีย 71 ล้านกระบอก 3.จีน 50 ล้านกระบอก 13.ไทย 10 ล้านกระบอก (ยังไม่นับปืนเถื่อนซึ่งเยอะมาก) ขณะที่ปีนี้ ไทยจับยาบ้าได้ 600 กว่าล้านเม็ด ยาไอซ์ 2.2 หมื่น กิโลกรัม มากกว่าเพื่อนบ้านทั้งหมด

โดยสรุปคือ ยาบ้าและปืนกำลังล้นเมือง และต่อไปยังจะมี “กัญชาเสรี” อีก มีนักเรียนชาย-หญิงล้อมวงดูดบ้องกัญชาให้เห็น จะรับกันได้หรือ นโยบายนี้คงไปไม่รอดแล้ว?!?

กลับมาเรื่องคลั่งกราดยิง จำได้ใช่มั้ย ปี 63 จ่าคลั่งที่โคราช ฆ่าหมู่ไป 31 ศพ เพราะความบีบคั้นที่ถูกแม่ยายผู้บังคับบัญชาโกงค่าคอมฯ ในโครงการบ้านพักทหาร ใน กทม.ที่กรมยุทธศึกษาทหารบก ทหารกราดยิงเพื่อนดับ 3 ศพ และสุดท้ายที่ไม่ท้ายสุด กราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กดับ 38 ศพ

คุณหมอเดชา ปิยะวัฒน์กูล อ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น และจิตแพทย์ บอกว่า ผู้ก่อเหตุ มักมีจุดประสงค์ให้ทุกอย่างรอบตัวขาดสะบั้นลง เพราะเกลียดชังสังคม ต้องการทำลายความรัก เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองได้รับการแก้แค้นในสิ่งที่สูญเสียไป หลักการคือต้องไม่ยอมให้สิ่งที่คนร้ายต้องการคือความเกลียดชัง เมืองนอกที่เกิดเคสแบบนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประชุมเพื่อหาทางป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดอีก การลงพื้นที่ต้องจัดการอย่างเหมาะสม ไม่ใช่มั่วอย่างปัจจุบัน ไม่ใช่แบบข้าราชการฝ่ายปกครองที่เหมือนเข้าไปย่ำยีจิตใจมากกว่าไปเยียวยาจิตใจพวกเค้าที่บาดเจ็บสาหัสอยู่

คุณหมอเดชาบอกอีกว่า คนที่เผชิญหน้ากับความรุนแรงและอาวุธเป็นประจำ ต้องมีการประเมินและตรวจสุขภาพจิตเป็นระยะโดยจิตแพทย์ หากมีการเรียนมาก็รับสภาพได้ แต่ปัญหาใหญ่กลับกลายเป็นเรื่องอื่น เช่น ระบบงาน วัฒนธรรมองค์กร การอยู่ใกล้ชิดอาชญากร การยั่วยุ อบายมุข หน่วยงานทหาร-ตำรวจรู้มานาน แต่ดูแลได้ไม่ดีพอ เพราะระบบโครงสร้างใหญ่มีปัญหา ระบบย่อยจะแก้ยังไงก็ไปติดที่ระบบใหญ่ ทนไม่ได้ก็ลาออกไป จึงต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการทั้งระบบด้วยความรู้ที่แท้จริง ซึ่งไม่เคยทำได้ เพราะว่ามีแต่การลูบหน้าปะจมูก

เห็นด้วยกับคุณหมอทุกประการเลย แต่ก็อย่าหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับ “ระบอบประยุทธ์” อยู่มา 8 ปีกว่า แม้แต่เรื่องที่ตัวเองรู้มากสุดคือกองทัพ ยังมีแต่ “ปฏิลูบ” ลูบหน้าปะจมูกไปวัน ๆ ตอนนี้เพิ่งตื่นมางัวเงียจะประกาศสงครามกับยาเสพติด ควบคุมปืนทุกอณู ทั้งที่ปัญหาสะสมมานานแล้ว

น่าเศร้าที่ประเทศเราไม่เคยมีบทเรียน แผ่นดินนี้จึงเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมซ้ำซาก.

————————-
ดาวประกายพรึก