กล่าวกันว่ายุคนี้คือยุคแห่งความรุ่งเรืองของเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ก้าวกระโดดไปไกลในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและการพาณิชย์

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อได้เห็นรายงานฉบับล่าสุดจากธนาคารเพื่อการลงทุนและบริการทางการเงินรายใหญ่ของโลกอย่าง ‘Credit Suisse’ ที่ระบุว่า ตอนนี้ ค่าเฉลี่ยของความมั่งคั่งของชาวจีนแซงหน้าชาวยุโรปไปแล้ว

พูดง่าย ๆ ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ปัจจุบันนี้ คนจีนรวยกว่าคนยุโรป

แม้ว่าเมื่อจับภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปมารวมกันแล้ว ตัวเลขของความมั่งคั่งของทั้งสองภูมิภาคจะเท่ากับ 57% หรือมากกว่าจำนวนครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งของคนทั้งโลก แต่ถ้านับกันแบบตัวต่อตัว จีนได้เขี่ยยุโรปตกจากอันดับไปแล้วเรียบร้อย

รายงานเรื่องความมั่งคั่งแห่งโลกหรือ Global Wealth Report ของธนาคาร Credit Suisse ซึ่งเพิ่งจะเผยแพร่ออกมาในเดือนนี้ เป็นรายงานเกี่ยวกับการประเมินค่าเฉลี่ยของความมั่งคั่งของคนธรรมดาทั่วไปจากทั่วโลก โดยรวบรวมจากข้อมูลที่ได้ในปี 2564

ตามข้อมูลในรายงาน ปรากฏว่า ค่าเฉลี่ยของความมั่งคั่งของชาวจีนอยู่ที่คนละ 26,752 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,003,467 บาท แซงหน้าค่าเฉลี่ยความร่ำรวยของชาวยุโรปต่อหัวซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 26,690 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,001,141 บาท ทั้งนี้ก็เนื่องจากค่าเฉลี่ยของยุโรปนั้น ต้องคิดรวมตัวเลขจากประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยนักในส่วนของยุโรปใต้และยุโรปตะวันออก เข้าไปด้วย

หันมาทางจีน เมื่อนำตัวเลขของประเทศพญามังกรไปเทียบกับเพื่อนบ้านอย่าง รัสเซีย ก็ปรากฏว่า คนจีนรวยกว่าคนรัสเซียถึง 4 เท่า เนื่องจากมูลค่าเฉลี่ยแห่งความมั่งคั่งของชาวรัสเซียต่อหัวอยู่ที่ 6,379 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 239,276 บาท) 

แต่เมื่อกลับไปเทียบเฉพาะประเทศ จีนก็ยังต้องพยายามอีกมากเพื่อไล่ตามสหรัฐอเมริกาและเบลเยียม ด้วยค่าเฉลี่ยความรวยของคนอเมริกัน อยู่ที่หัวละ 93,271 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.49 ล้านบาท) ส่วนของเบลเยียม อยู่ที่หัวละ 256,336 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.6 ล้านบาท) 

อย่างไรก็ตาม ในรายงานก็ยังคงกล่าวถึงจีนว่า เป็นประเทศที่มีความโดดเด่นและมีความมั่งคั่งเพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดด โดยเป็นประเทศที่ ‘รวยเร็วที่สุด’ ด้วยค่าเฉลี่ยความมั่งคั่งต่อบุคคลของประเทศที่เพิ่มจาก 3,111 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 116,693 บาท) ในปี 2543 มาเป็น 26,752 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,003,467 บาท) ในปี 2564

สำหรับมูลค่ารวมแห่งความมั่งคั่งทั่วโลกในปี 2564 นั้น อยู่ที่ 463.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 17,389 ล้านล้านบาท) โดยเพิ่มจากปีก่อน 9.8% 

แหล่งข้อมูล : businessinsider.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES