ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.เป็นต้นไป คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต. ) ได้กำหนดให้เป็นวันที่อยู่ในห้วง 180 วันก่อนการสิ้นสุดอายุสภานี้ ( สิ้นสุด มี.ค. 66 ) ดังนั้น ก็เริ่มมีกติกามากำกับพรรคการเมือง ที่สำคัญคือห้ามแจกของ เพราะจะเข้าข่ายซื้อสิทธิขายเสียง ส่วนเรื่องการใช้ป้ายหาเสียง รถแห่ อะไรยังใช้ได้ นำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียงทีหลัง ตอนนี้อยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ไป เพราะเดี๋ยวพอมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งทั่วไปขึ้นมา ก็จะมีกฎหยุมหยิมตามมาอีกมาก แต่ตอนนี้ยังไม่ออก เพราะ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.( ฉบับที่..) พ.ศ….. ยังอยู่ในระหว่างพรรคเล็กยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความปมหารปาร์ตี้ลิสต์ ทำนองว่า ถ้าหารร้อยจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ

แต่ละภาคส่วนเริ่มเคลื่อนไหวกันใหญ่  คราวนี้ความหวังคือการ “เปลี่ยนขั้วอำนาจ” – “ล้างสิ่งที่ขั้วอำนาจปัจจุบันทำไว้”- “เชคบิลขั้วอำนาจปัจจุบัน” พรรคที่เคลื่อนไหวแรงที่สุดคือพรรคเพื่อไทย  ซึ่งไม่พูดเป็นคำตรงๆ แต่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ว่าเป้าหมายคืออะไร “บุคคลเป้าหมาย” เขายังบอกเองเวลาออกคลับเฮาส์ว่าจะกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ..และคราวนี้เดิมพันสูงโดยการเอากล่องดวงใจให้ชัดว่าเป็นสายตรง..มาเดินขอคะแนนประชาชนเอง สร้างความเป็นกันเองโดยใช้คำว่า“ครอบครัวเพื่อไทย” ดึงมวลชนเสื้อแดงเดิมที่เคยสนับสนุน และปฏิรูปพรรคใหม่ให้เป็นพรรคที่ถูกใจคนรุ่นใหม่มากขึ้นโดยการเพิ่มเรื่องของการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนเข้าไป  จากเดิมที่ตั้งแต่เป็นพรรคไทยรักไทยพูดถึงน้อย เพราะหวังฐานเสียงที่เป็นชาวบ้าน ได้ประโยชน์จากโครงการประชานิยมมากกว่า

ถ้าเพื่อไทยได้เสียงข้างมากแบบแลนด์สไลด์ สามารถดึงพรรคอื่นมาจับขั้วได้มาก  ที่ดูเหมือนจับมือกับเพื่อไทยได้แน่ๆ คือ ชาติไทยพัฒนา เสียงอาจไม่ถึง 25 เสียง แต่พรรคนี้เป็นพรรคที่ “พร้อมร่วมรัฐบาล” กับพรรคไหนก็ได้  ต่อมาคือพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นพรรคที่โตขึ้น จากการทำผลงานของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรค ที่ว่ากันว่า“ประทับทรวง” หลายๆ คนมากในเรื่องการตรวจสอบ …ก้าวไกลกับสร้างอนาคตไทย ( สอท.) ก็มีแนวโน้มจะถูกดึงมาร่วมกับเพื่อไทยได้ง่าย ก้าวไกลนั้นเป้าหมายหนึ่งคือการปฏิรูปล้างอำนาจ คสช.อยู่แล้ว ส่วน สอท. เป็นพรรคที่ดูจะมี “รอยแค้น”มาจากตั้งแต่ครั้งร่วมพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) ภาพที่ออกไปคือ “มีบางคนเหมือนโดนหลอกใช้ พอเขาใช้เสร็จก็ถีบหัวส่ง เอาพวกนักการเมืองเข้ามาแทน”

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค สอท.นั้น เป็นคนแรกด้วยซ้ำที่พูดในยุครัฐบาล คสช.ว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย” จนนำมาสู่การตั้งพรรค พปชร. เอา “เด็กในคาถา”ของนายสมคิด 4 กุมาร..นายอุตตม สาวนายน , นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ,นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ , นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นตัวขาย สร้างความหวังด้านเศรษฐกิจเพราะพวกนี้กุนซือเศรษฐกิจทั้งนั้น ที่ไหนได้..ออกนโยบายประชานิยม บัตรคนจนกันมาได้ปุ๊บนักการเมืองแย่งซีนปั๊บ ปรับโครงสร้างพรรค เอาฝ่ายการเมือง ฝ่าย คสช.เข้ามาคุม แล้วปรับ ครม. ..โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่นายสมคิดผลักดัน ก็กลายเป็นโดนเอาไปเคลม มาคราวนี้จะไม่จับมือกับใครก็ตามที่ดีต่อ คสช.เด็ดขาด เรื่องนี้มีการสัญญากับนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไว้แล้ว  

พรรคเล็กๆ นั้นไม่รู้จะสูญพันธุ์หรือไม่ …แต่ถ้าไม่สูญพันธุ์ แล้วขั้วตรงข้าม คสช. รวมเสียงเป็นเสียงข้างมากได้ก่อน ก็ย่อมลังเล ขณะที่คนดูแลพรรคเล็กที่เคยประกาศว่าตัวเองเป็น “คนแจกกล้วย” อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยนั้น ดูเหมือนท่าทีจะ “ไม่เผาผี”กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปแล้ว พรรคเศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มที่จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคขั้วตรงข้าม คสช.อีก

ทีนี้ ตัวแปรสำคัญคือ ภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ และมีโอกาสจะใหญ่ขึ้นได้อีก จะสวิงไปเข้าขั้วไหน ?  สงสัยว่า ขึ้นอยู่กับว่า “ฝ่ายไหนให้เก้าอี้รัฐมนตรีอะไร” เพราะภูมิใจไทยประกาศว่าจังหวัดไหนได้แลนด์สไลด์ จะให้เก้าอี้รัฐมนตรี ส.ส.จากจังหวัดนั้น เบื้องต้นไปประกาศแล้วที่ศรีสะเกษ และกระบี่ ซึ่งอีสานล่างกับภาคใต้เป็นภาคที่ภูมิใจไทยกำลังเจาะหนักมาก ..เก้าอี้รัฐมนตรีไม่พอ ก็เก้าอี้ประธานกรรมาธิการแล้วกัน พรรคภูมิใจไทยอาจเป็นพรรคอันดับ 2 หรือ 3 ได้ ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองสูง..ขณะที่พรรคใหม่ ทั้งใหม่ถอดด้าม ทั้งเหล้าเก่าในขวดใหม่ คือมาจากนักการเมืองเดิมมาตั้งพรรคใหม่ ตอนนี้ยังไม่เห็นพรรคไหนโดดเด่นขนาดที่จะได้เสียงมาอันดับ 2 หรือ 3 เหมือนพรรคอนาคตใหม่ ที่มาแรงในช่วงท้ายๆ ก่อนเลือกตั้งด้วยการชูกระแสคนรุ่นใหม่และ meme “ฟ้ารักพ่อ”

ที่กล่าวมา ก็พอเห็นภาพคร่าวๆ ได้ว่า ภาพแรกของการเลือกตั้งก็จะเป็นการ “เอาหรือไม่เอา คสช.”เหมือนตอนปี 62 แหละ แต่คำว่า “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” เหมือนจะสิ้นมนต์ขลังไปแล้ว เพราะสภาเละเทะเหลือเกิน ( มันก็เพราะทั้งฝ่ายรัฐบาลทั้งฝ่ายค้าน อย่างเพื่อไทยก็มีกิริยาไม่น่ารักตรงที่จะไม่แสดงตนเป็นองค์ประชุมเสียอย่าง ใครจะทำไม ) ม็อบก็เยอะ และเผลอ ๆ ถ้าคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญเรื่องวาระ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาไม่ถูกใจใคร ก็อาจมีการเคลื่อนไหว ซึ่งเรื่องนี้นักวิชาการติดเบรกไว้ก่อนว่า การเคลื่อนไหวใหญ่มีโอกาสจบลงเหมือนปี 49 และปี 57 ได้ เพราะฉะนั้น ถ้า มี.ค.66 รัฐบาลครบวาระ แล้วก็ใช้การเลือกตั้งเป็นการตัดสินดีกว่า

มาขั้วฝั่ง คสช. พรรค พปชร. นั้น ก็ดูยังหืดขึ้นคอว่าจะกลับมาได้หรือไม่ ในส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย มีเสียงเล่าลือกันว่า “นักการเมืองไม่ชอบ” เนื่องจากเข้าถึงยาก เจรจาขออะไรยาก ส่วน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช.หัวหน้าพรรคนั้น พยายามซื้อใจพวก ส.ส. ทำตัวให้เข้าถึงง่าย ใจถึงพึ่งได้  ก็คงจะมี ส.ส.รักลุงป้อมเยอะ..แต่กับอีกสองลุงถ้ายังอยู่..น่าจะประเภท ..ฝากชีวิตกับเธอไม่ไหว ต้องตัดใจตีตัวออกหาก … ฝั่งลุงป้อมนั้นก็มาดไม่ดี กลายเป็นดูน่าขันมากกว่าน่าเกรงขาม เพราะสมัยเป็นรองนายกฯ เสียงเหน็บแนมตลอดว่านั่งก็หลับเดินก็ล้ม พอมารักษาการนายกฯ ถึงปรับมากระฉับกระเฉง มันทำให้ดูเหมือน “พี่แย่งซีนน้อง” และจริงๆ ในฐานะหัวหน้าพรรคควรจะแสดงภาพลักษณ์ และแสดงอำนาจให้มันดูน่าเคารพกว่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ

พรรคที่คาดว่า น่าจะมาฝั่ง คสช.แน่ คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ( รทสช.) นำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งขณะนี้เพิ่งเปิดตัวแต่ยังไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่รู้จะแผ่วปลายแบบพรรคกล้าหรือไม่ ที่สุดท้ายหัวหน้าพรรคลาออกจากพรรคไปอยู่ชาติพัฒนาซะอย่างนั้น คงเพราะประเมินขุมกำลังในมือว่า “สู้ไม่ไหว” เดี๋ยวหลังเอเปค มีสัญญาณยุบสภาก็รู้ว่า ส.ส.ลาออกย้ายไปซบพรรคนี้เยอะหรือไม่  หรือมีคนที่เป็นที่ชื่นชอบไปอยู่พรรคนี้หรือไม่

แล้วก็มากันที่เรื่องนโยบาย ภูมิใจไทยนั้นชัดสุดว่า น่าจะเดินหน้าโปรโมทกัญชาต่อ เพราะมีแนวโน้มกฎหมายไม่ผ่านในรัฐบาลนี้ ( อาจยุบสภาก่อนวาระพิจารณาหรือโดนเลื่อนวาระ )  โดนโจมตีจากหลายฝ่ายว่ามาช่องโหว่เยอะที่ดันปล่อยเสรีกัญชาก่อนกฎหมายควบคุมบังคับใช้ ทำให้ช่วงแรกก็“เปรมกัญ”ไปใหญ่ ถึงค่อยตามไล่คุม ประเภทห้ามไปพันลำขาย ห้ามสูบข้างทาง และที่เป็นเหตุผลอมตะนิรันดร์กาลของบ้านเราคือ “เป็นห่วงเยาวชนจะนำไปใช้ในทางที่ผิด”  ..ซึ่งกฎหมายกัญชาเหมือนผีจะขึ้นเมรุแล้วยังไงก็ต้องเผา จะให้ไปยกเลิกกฎหมาย พวกที่ลงทุนไปก็มีเยอะแล้ว ให้ผิดกฎหมายคงได้มีคนโดนฟ้องกันบ้าง

นโยบายต่อไปของภูมิใจไทยที่น่าจะเอามาขาย คือเรื่องยกเลิกเบี้ยปรับ และดอกเบี้ยกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ( กยศ.) ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่านไปแล้ว ให้ยกเลิก แต่แว่วเสียงเรไรมาว่า น่าจะให้มีการคว่ำในวุฒิสภาเพื่อส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาใหม่ และสุดท้ายก็ต้องตั้งกรรมาธิการร่วม ทำให้กฎหมายก็อาจไม่เสร็จในสมัยประชุมหน้า ..กฎหมายนี้ก็เหมือนกัญชาคือ ตอนแรกก็ออกไปก่อน แต่ต่อมาก็คิดถึงปัญหากันทีหลัง ..ให้กู้ กยศ. ไม่มีดอก ไม่มีเบี้ยปรับ คราวนี้เห็นทีจะหนีหนี้กันสนุกสนาน ถ้าไม่ใช่หักเงินออกจากบัญชีเงินเดือน  ทำให้คนขาดวินัยการเงินการคลัง กองทุนฯ เองก็ไม่มีรายได้เสริมมาหมุนเวียนให้รุ่นต่อๆ ไปกู้

นโยบายของพรรคอื่นๆ ...หลายพรรคชูเรื่องเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เพราะสังคมไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว การเพิ่มเบี้ยยังเป็นการช่วยลดภาระวัยแรงงาน แต่ถ้าให้ครบวงจรเรื่องลดวาระวัยแรงงาน ก็น่าจะมีนโยบายเกี่ยวกับการสร้างชุมชนผู้สูงอายุ การฝึกอาชีพเป็นงานอดิเรกหลังเกษียณ จะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองก็ได้ หรือจะเป็นนโยบายระดับท้องถิ่นก็ดี , นโยบายที่ยังน่าสนใจคือการส่งเสริมการออม เพื่อใช้เป็นเงินเก็บยามเกษียณอายุราชการ ถ้าเป็นเงินออมของประชาชนเองรัฐบาลก็ไม่ต้องควักงบประมาณแผ่นดินช่วยเหลือเยอะมาก

อีกนโยบายที่เห่อตามกระแสเกาหลีกันคือเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งคำนี้หลายคนก็เข้าใจต่างๆ กันไป ซอฟต์พาวเวอร์ที่เข้าใจง่ายสุดคือ การผลิตเนื้อหาสื่อบันเทิง  เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคสินค้าตัวอื่นๆ เลียนแบบ ..ยกตัวอย่างเกาหลี ให้ตัวละครนั่งกินอาหารเกาหลีโชว์ในหนังหลายๆ เรื่อง ไปๆ มาๆ ตอนนี้ร้านอาหารเกาหลีพอๆ กับร้านอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรา และอาหารเกาหลีเอาจริงก็ต้นทุนไม่สูง คือวัตถุดิบมันไม่ได้เลิศเลอเหมือนญี่ปุ่น บางอย่างก็แค่หมูสามชั้นย่างห่อผัก  แต่พอมีมายาคติของการบริโภคตามหนัง ตามซีรีย์ไป ก็ช่วยเพิ่มราคามันได้

หลายพรรคอยากทำซอฟต์พาวเวอร์แนวๆ นี้ ส่วนตัวคิดว่า..ไปพัฒนาวงการหนังวงการละครไทยให้มันส่งออกได้กว้างขึ้นก่อนเถอะ วงการหนัง ซีรีย์ไทยที่ต่างชาติ ( โดยเฉพาะเอเชีย ) ชอบ คือซีรีย์วาย หรือซีรีย์แนวชายรักชายที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เกย์ ( คือชาววายเขารู้กันว่ามันแปลว่าอะไร ) มันก็ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ระดับหนึ่ง เช่น การเที่ยวตามรอยซีรีย์ หรือการที่ต่างชาติเข้ามางานแฟนมีทติ้งดาราในเมืองไทย และมีโอกาสเที่ยวไทยต่อ ..บางทีรัฐบาลก็เอาดาราซีรีย์วายไปขายของได้ เช่น หากไปเปิดตลาดสินค้าผลไม้ในจีนก็พาดาราวายที่ “แม่จีน”( ตามที่ชาววายเขาเรียกกัน ) กรี๊ดกร๊าดอยู่ไปช่วยขาย .. จีนเป็นชาติที่เปย์ให้ดาราวายหนักมากนะอย่าทำเป็นเล่นไป

นโยบายของแต่ละพรรคต้องมีทั้งการช่วยเหลือ ( หรือให้ )เงินประชาชน และการหาเงินเข้าประเทศ ไอ้ที่ประกาศจะให้โน่นให้นี่ ขอให้ประชาชนถามถึงแนวทางการหารายได้ด้วย และคิดดูว่า ทำได้จริงหรือไม่

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”