ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศประกาศร่วมกันอย่างเป็นทางการ ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตที่ห่างเหินกันไปนาน 3 ทศวรรษ “สนับสนุนซึ่งกันและกันบนเวทีระหว่างประเทศ” “การเคารพอธิปไตยซึ่งกันและกัน” และ “การไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของอีกฝ่าย”
ความคืบหน้าครั้งสำคัญดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คือผลงานชิ้นโบแดงทางการทูตของรัฐบาลไทยในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้เวลาขับเคลื่อนเบื้องหลังเป็นหลักนานถึง 6 ปี โดยการดำเนินงานของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศคนปัจจุบัน เนื่องจากแม้รัฐบาลชุดก่อนหน้านั้นหลายสมัย พยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับรัฐบาลริยาด ทว่าไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ซึ่งทรงเป็นที่รู้จักด้วยพระนามย่อ “เอ็มบีเอส” ทรงดำรงพระอิสริยยศองค์รัชทายาทแห่งซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี 2558 หลังเหตุการณ์ที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นการ “ก่อรัฐประหารเงียบ” เพื่อถอดเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ ซึ่งทรงมีศักดิ์เป็นพระราชภาดา พ้นจากตำแหน่งมกุฎราชกุมาร หากไม่นับ “การบริหารจัดการภายใน” หรือ “การปรับโครงสร้าง” ภายในราชวงศ์ ถือได้ว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงมีพระวิสัยทัศน์ที่มีความเป็นสมัยใหม่สูงมาก ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้แผนการพัฒนาประเทศรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพื่อลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจของประเทศกับน้ำมันเพียงอย่างเดียว
เพียงไม่นานหลังรัฐบาลซาอุดีอาระเบียกับไทยประกาศการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ความร่วมมือระหว่างสองราชอาณาจักรในมิติที่สำคัญมีความเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว แรงงาน พลังงาน และความมั่นคงทางอาหาร โดยสถิตินักท่องเที่ยวจากซาอุดีอาระเบียสะสมเพิ่มเป็นประมาณ 35,000 คน เมื่อรวบรวมข้อมูลถึงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลไทยคาดหวังว่า มาตรการผ่อนคลายวีซ่าจะช่วยให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากซาอุดีอาระเบีย เพิ่มเป็น 300,000 คน ภายในสิ้นปีนี้
จริงอยู่ที่พัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับไทยจนถึงเวลานี้ เน้นไปที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ในแง่บริบททางการเมืองระหว่างประเทศ มีข้อบ่งชี้ว่า ไทยและซาอุดีอาระเบียกำลังเผชิญกับ “ความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน” ทั้งสองประเทศถือเป็น “พันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ” ของสหรัฐ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลางตามลำดับ และความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละประเทศกับสหรัฐนั้น ตึงเครียดเป็นระยะ จากประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนและสถานการณ์ภายในประเทศของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลวอชิงตันแสดงท่าทีค่อนข้างชัดเจนว่า “ไม่สบอารมณ์” ที่ซาอุดีอาระเบียและไทย มีความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะแน่นแฟ้นมากขึ้น กับจีนและรัสเซีย ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดด้านภูมิศาสตร์การเมืองโลก จากสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อ
อนึ่ง นโยบายการต่างประเทศที่เป็นมิตรของไทยมีส่วนสำคัญช่วยให้การสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางเป็นไปด้วยความราบรื่นมาตลอด โดยเฉพาะกับประเทศขนาดใหญ่ในภูมิภาค ดังนั้น ความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียที่ดีขึ้นเป็นลำดับ น่าจะช่วยเป็นใบเบิกทางให้ไทยสามารถยกระดับความร่วมมือกับอีกหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางเช่นกัน และโยงไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี)
การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย เป็นเรื่องที่ฝ่ายไทยเฝ้ารอและพยายามมานานหลายทศวรรษ แน่นอนว่า ความคืบหน้าและแนวโน้มในทางที่ดีซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 8 เดือนจนถึงปัจจุบัน มีความสำคัญสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซมและการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับทวิภาคียังคงจำเป็นต้องเกิดขึ้น “อย่างจริงจัง” เพราะยากที่จะปฏิเสธว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้ว ส่งผลกระทบต่อทั้งสองประเทศอย่างมาก และเมื่อความสัมพันธ์กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างราบรื่น ทั้งสองประเทศไม่ควรปล่อยให้ช่วงเวลาที่ถือเป็นโอกาสทองแบบนี้ ต้องหลุดมือไปอีก.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES