ได้มีโอกาสนั่งสนทนากับเพื่อนฝูงด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง แต่ดูเหมือนเรื่องไม่เป็นกันเองเท่าไรนัก เพราะนั่งคุยกันถึง เรื่องหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ ที่ประเทศไทยมี 3 อย่างนี้พุ่งสูงขึ้น โดยรัฐบาลนี้ก็คงเห็นเรื่องนี้อยู่ว่ามีความสำคัญ ก็เลยให้เป็น นโยบายหลักอันหนึ่ง โดยมีการไกล่เกลี่ยหนี้ในรูปแบบต่างๆ เรื่องหนี้สาธารณะก็พยายาม คุมวินัยการเงินการคลัง มีทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หนี้ครัวเรือนหรือหนี้อื่น อย่างหนี้ กยศ. หนี้เกษตรกร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงยุติธรรม ก็มี นโยบายดึงคนเข้ามาไกล่เกลี่ยหนี้ หรือเรื่องหนี้นอกระบบ มักจะถูกอ้างถึงว่าเป็นผลงานของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ รักษาการนายกฯ ซึ่งผลงานหลักของบิ๊กป้อม ถูกโชว์ขึ้นมาใน 3 ด้านหลัก คือ เรื่องการจัดการการค้ามนุษย์ เรื่องหนี้นอกระบบ และบริหารจัดการน้ำ

หนี้ครัวเรือน และหนี้นอกระบบสูงขึ้นได้อย่างไร? รายหนึ่งในวงสนทนาบอกว่า มีสิ่งที่บั่นทอนเศรษฐกิจ ก่อหนี้ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ..ที่ทำให้ครัวเรือนหรือบุคคลมีหนี้ ซึ่งน่าจะเรียกว่า “อย่างมีนัยสำคัญ” หมายถึง สิ่งที่ว่าเป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของหนี้ประชาชนทั้งประเทศ นอกเหนือจากหนี้อื่น เช่น หนี้จากการเรียน หนี้ซื้อของ หนี้กิจการขาดทุน หนี้เกษตรกร ฯลฯ… หนี้ที่ว่าเกิดจาก ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ซึ่งก็มีมาเรื่อยๆ เป็นระยะในบ้านเรา

ทำให้คิดถึงนิยายเรื่อง “บ้านบุญหล่น” ของคุณ ว.วินิจฉัยกุล ที่เหมือนจะล้อเลียนเหตุการณ์ “แชร์แม่ชม้อย” หรือนางชม้อย ทิพย์โส ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมหาศาล ..สมัยนั้น มีปรากฏการณ์ นางชม้อย ทิพย์โส อ้างว่า มีสายสัมพันธ์กับพวกระดับสูง เชิญลงทุนแชร์น้ำมัน ที่ให้ค่าตอบแทนสูงแบบเห็นทันตา คนก็แห่กันมาลงทุน นางชม้อยเป็นผู้หญิงดูมีมาดหรู ผู้ดี นิ่งๆ เรื่องนี้มันเกิดนานแล้ว จำได้ว่า เคยมีคนเล่าบรรยากาศเวลาไปส่งแชร์ ทำนองว่า “ส่งกับใครก็ไม่อุ่นใจเท่าส่งกับคุณชม้อย เขาไว้ใจเรานะ เอาเงินไปเทๆ บนโต๊ะ บอกจำนวน เขามองๆ ไม่นับด้วยซ้ำแล้วเก็บ”

ในนิยายเรื่อง “บ้านบุญหล่น” ก็เล่าเรื่องของครอบครัวชนชั้นกลางครอบครัวหนึ่ง ที่อยู่ๆ ก็มี “แม่ข่าย” มาชวนไปลงทุน (โดยไม่ได้เขียนชัดนักว่า เป็นแชร์แม่ชม้อย) ด้วยการทำให้คนเห็นว่า “มาร่วมลงทุน ระดมทุนด้วย แล้วค่าตอบแทนสูง มีเงินเหลือกินเหลือใช้” …แม้ว่าตัวเอกฝ่ายชายในเรื่องไม่ค่อยเชื่อ แต่ฝ่ายหญิงที่เป็นแม่บ้าน การอยู่กับบ้านน่าจะทำให้เบื่อ และไปฟังอะไรแบบนี้ล้างสมองเยอะ จนตัดสินใจเอาเงินเก็บไปลงทุน และชวนแม่ผัวไปลงทุนด้วย

วงแชร์เริ่มขยายเติบโตออกไปทุกที เงินปันผลตอบแทนมีเข้ามาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งที่เจ้ามืออุ้มไม่ไหวอีกต่อไปก็ทำวงแชร์ล้ม ซึ่งก็จำนิยายไม่ค่อยได้ว่า แชร์ล้มแล้วเจ้ามือไปไหน แต่ที่จำได้คือตัวเอกฝ่ายหญิงลงทุนไปมาก และเมื่อกลับมาพิจารณาถึง “เงินที่ได้มาง่าย” แล้ว ก็พบว่าที่น่าตกใจคือ “มันไม่ได้งอกเงยสานสร้างต่อยอดรายได้เลย” เพราะเงินที่ได้มาง่ายเหล่านั้น ถูกนำไปใช้เป็นเบี้ยหัวแตก ซื้อของอะไรที่อยากซื้อ ..ค่าที่คิดว่า เจอ “บุญหล่น” จะไม่ต้องใช้ชีวิตตามอัตภาพอีกต่อไปแล้ว แต่ที่สุดแล้ว ก็ตกเป็นเหยื่อ

เรื่องแชร์ที่ค่าตอบแทนเร็ว สูง นี่ ตัวเอกฝ่ายชายใน “บ้านบุญหล่น” อธิบายว่า “ก็คือเงินหมุน” เพราะที่เขาจ่ายตอบแทนตามรอบที่ตกลง รายสัปดาห์หรือรายเดือนก็แล้วแต่ ก็เป็นดอกที่มูลค่าสูงเท่านั้น ล่อให้คนยิ่งอยากลงเงินต้นให้มากขึ้นอีก เพื่อได้ดอกสูง ..จริงๆ แล้วเงินที่เอามาจ่ายดอก ก็คือเงินต้นของเจ้าอื่นมาจ่ายดอกให้อีกเจ้า หมุนวนกันอยู่แบบนี้จนวันไหนรับภาระดอกไม่ไหวแล้ว มีเงินพอแล้ว เจ้ามือล้มบนฟูก

บ้านบุญหล่น พิมพ์ครั้งที่ 3 ว.วินิจฉัยกุล เขียน ***สินค้าหมด*** - book-dd  หนังสือมือสอง หนังสือเก่า หนังสือเก่าหายาก หนังสือมือสองสภาพดี, online,  book-dd : Inspired by LnwShop.com

“ล้มบนฟูก” ที่ว่านี้คือมันมีการจัดแจงแบ่งซ่อนทรัพย์สินจำนวนมากไว้แล้ว  ติดตะรางฐานฉ้อโกงประชาชน ถึงหลายกรรมหลายวาระ รวมโทษกันเป็นหมื่นปี ติดจริงก็ไม่เกิน 20 ปี อย่างแม่ชม้อยคนดังก็ติดคุกไม่ถึง 20 ปี … คนมองโลกในแง่ร้ายยังเชื่อว่า ก็ “ซอง” เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไปเสียหน่อย ให้เขายกขึ้นเป็นนักโทษชั้นดี พอมีพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษที ก็ลุ้นให้เจ้าหน้าที่ใส่ชื่อลงบัญชีนักโทษควรได้รับการอภัยโทษ พอตอนนั้นค่อยออกมาใช้เงินชาวบ้านที่ฉ้อโกงมา

ล่าสุด เกิดกรณี ฟอเรกซ์ 3D ผู้รู้บางท่านบอกว่า “ไม่ใช่ฟอเรกซ์จริงๆ หรอก มันคือแชร์ลูกโซ่ที่เอาชื่อฟอเรกซ์มาอ้าง แค่นั้นแหละ” คือประมาณว่า สร้าง “แม่ข่าย” ให้ไปเชิญลูกข่ายมาเยอะๆ อธิบายให้งงๆ ไว้ทำนองว่าคือการซื้อเงินต่างประเทศมาเก็งกำไร แล้วแม่ข่ายก็ได้ค่าตอบแทนถ้ามีลูกข่ายหลงเข้ามา

แชร์ลูกโซ่ มาในคราบของธุรกิจต่างๆ เช่น พวกขายอาหารเสริม พวกชวนระดมทุน มีการใช้ศัพท์สวยหรูประเภท “ให้เงินทำงานแทน” คือถ้าตั้งตัวเป็นแม่ข่าย หาลูกข่ายได้เรื่อยๆ แล้วลูกข่ายก็ไปหาลูกข่ายต่อ แม่ข่ายจะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น โดยเป็นส่วนที่หักมาจากลูกข่ายระดับล่างที่ตัวเองหา ..ตัวต้นเรื่องก็สร้างความน่าเชื่อถือ แบบใจถึง พึ่งได้ ไม่หนี อย่างกรณีธุรกิจของ ทอมโชกุน ที่ล่อคนมาลงทุนด้วยการจัดทัวร์ญี่ปุ่นราคาต่ำ ชนิดที่พวกทำทัวร์งงตาแตกว่าราคาซื้อตั๋วไปกลับไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ทอมโชกุนทำได้ ..รอบสองรอบแรก ก็ล่อคนมาร่วมลงทุนได้เยอะ เพราะหวังของกำนัลอย่างเที่ยวด้วย กำไรด้วย

จนมาเกิดเหตุใหญ่โตตอนมี การลอยแพลูกทริปญี่ปุ่นของทอมโชกุนที่สุวรรณภูมิ ถึงได้แจ้งความกันวุ่นวาย และสุดท้ายก็จับตัวได้ โดนโทษหลายกรรมหลายวาระกี่หมื่นปีไม่รู้ แต่เอาจริงติดคุกไม่ถึงหรอก แล้วก็หายหน้าไปจากวงสังคมเงียบๆ สุขบนเงินคนอื่นไป ..ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน แต่มีคนในแวดวงการเงินบอกว่า ประเทศไทยมีวงแชร์ลูกโซ่เยอะแต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้นเอง บางที่เขาไม่เร่งเร้าเอาเงินกันจนเว่อร์

นึกถึงครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เคยได้รับจดหมายจากต่างจังหวัด เล่าว่า มีการเชิญชวนเรื่องให้มาร่วมเป็น “นักธุรกิจ” ขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยมีโมเดลให้ซื้อสินค้ามาสต๊อก …ตอนนั้นในใจก็คิดต่อว่า สต๊อกแล้วจะขายใคร นอกจากขายคนกันเอง หรือไม่ก็ต้องหาลูกข่ายมาระบายสต๊อก ถึงเขาไม่บอกว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ก็ตาม.. แม้ว่าสินค้าตัวนั้นอ้างว่ามีเลข อย.แต่มันก็หลอกกันได้ หรือเลข อย. ก็ไม่ได้รับประกันความซื่อสัตย์สุจริตของคนขายได้ ก็ได้แต่แนะนำไปว่า ถ้าให้มีการสต๊อกของจำนวนมาก ไม่แนะนำให้เข้าร่วมธุรกิจนี้

คือเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่า ปัญหาเหล่านี้ ที่เป็นต้นตอสำคัญหนึ่งของหนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ ภาครัฐเราขยับดูแลกันช้าเกินไป จนกว่าจะมีคนแจ้งความโน่นถึงรู้ว่ามี เราคาดหวังกับศักยภาพของเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่าเป็นพวกค่อยทำตอนมีคนแจ้งความ ไปหาดูตามอินเทอร์เน็ต ไอ้ประเภทอวดรถหรู อวดเงินเป็นฟ่อน บอกว่าได้มาจากการลงทุน ก็ควรจับตาดูได้แล้ว.. ส่วนประชาชน ถ้ามีอะไรที่มีการลงทุนแล้วได้กำไรสูงผิดปกติ ไวผิดปกติ ก็ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปสอดส่องได้  และที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่รัฐเองอย่าทำตัวเป็น “ผู้คุ้มครอง” เสียเอง แลกกับค่าตอบแทนมูลค่าสูง

ได้ลองเข้าไปดูในเฟซบุ๊กของ นายอภิรักษ์ โกฎธิ ต้นข่าย ฟอเรกซ์ 3D ก็เห็นรีพลายจากผู้ร่วมลงทุนมากมาย หลายอารมณ์ เฟซบุ๊กไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่สองปีก่อน แต่ก่อนที่มันจะนิ่งไป ก็เริ่มเห็นปัญหาแล้วว่า มีหลายคนที่เข้ามาทวงเงิน มาฟูมฟายบอกเงินที่ลงไปกับนายอภิรักษ์ คือ เงินขายบ้าน กู้หนี้ยืมสิน (นอกระบบด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้) กระทั่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต ซึ่งก็น่าเห็นใจคนเหล่านั้น เพราะนายอภิรักษ์รายนี้สร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเองโดยการดึงเอาคนดังๆ เข้ามาช่วยสร้างภาพ อย่างดาราสาว พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช ซึ่งดารามีราคาในทุกสังคม

สิ่งหนึ่ง…ที่ไม่อยากเรียกว่า “ความโลภ” แต่อยากเรียกว่า “ความหวัง” ของคนเรา เมื่อเห็นคนอื่นได้ใช้ชีวิตที่ดี ก็อยากให้ชีวิตตัวเองเป็นแบบนั้นบ้าง ยิ่งโลกปัจจุบัน การสื่อสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก มันอวดรวยกันง่ายดาย มีรายการประเภทพาไปดูบ้านดาราให้คนชั้นกลางลงล่างยิ่งเกิดภาพฝัน แต่พอมาพิจารณาถึงรายได้ ทั้งหลักทั้งเสริม มันดูยากเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงการมีชีวิตหรูก็ได้..แค่การมีชีวิตที่ดีมันก็ต้องใช้เงิน อย่างพ่อแม่ จะส่งลูกเรียนที่ไหน ก็ต้องเอาโรงเรียนคุณภาพ ซึ่งก็ค่าใช้จ่ายสูง ..เด็กอยากเข้าสังคม มีงานอดิเรกอย่างเล่นดนตรี เล่นกีฬา ก็ค่าใช้จ่ายมา

ไม่อยากจะบอกว่า คนที่ถูกชักจูงให้เข้ามาสู่วงจรพวกนี้ได้ เป็นคนโง่ไปเสียหมด พวกมิจฉาชีพนี่มันมีวิธีกล่อมเกลาไปถึงล้างสมองคน กระทั่งบังคับขู่เข็ญก็ทำ อย่างเช่นเชิญคนมานั่งฟังสัมมนาแล้วใช้พวกการ์ดป้องกันคนออก บีบให้ลงทุน บางคนก็ไว้ใจเพราะเห็นว่าเป็นคนใกล้ตัวที่มาชักชวน เอาง่ายๆ พวกชวนลงทุนพวกนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะ โดยเฉพาะการสร้างความฝัน ..ถ้าไม่พลาดโป๊ะแตกจนเขาหัวเราะกันทั้งเมือง ก็หลอกคนได้เรื่อยๆ ไอ้ที่พลาดล่าสุดก็ผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่างที่เอาเด็กวัยรุ่นมาเขียนโฆษณาคำโตว่า กำเงินก้อนสุดท้าย 6,000 บาทมาลงทุนแล้วได้เป็นล้านนั่นแหละ

ผลสรุปจากบทสนทนาที่พูดกันเรื่องนี้ คือเห็นตรงกันว่า ไอ้พวกธุรกิจแบบหวังรวยทางลัดพวกนี้แหละ ที่เป็นตัวก่อหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบอย่างมีนัยสำคัญ คนเอาเงินไปลงทุนเยอะ กู้หนี้ยืมสินมา กู้ธนาคารไม่ได้ก็นอกระบบ พอวงแชร์ วงลงทุนมันล้มก็ไม่มีเงิน จะไปเอาทรัพย์สินคืนจากไหนเพราะตัวแม่ข่ายมันต้องวางแผนยักย้ายถ่ายเททรัพย์ไปแล้ว ได้ไปเป็นพันล้านแล้วลูกหนี้กี่คน แม่ข่ายแอ๊บเป็นบุคคลล้มละลายแต่ใช้เงินสดเอา ..คำเตือนข้อเดียวที่พวกนี้ใช้ป้องกันตัวคือ “การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษา..” บลาๆๆ ..อดคิดไม่ได้ว่าวิชาด้านการเงินการลงทุนก็ควรสอนกันตั้งแต่มัธยม เพราะการลงทุนแปลกใหม่มันมีมาเรื่อยๆ อย่างคริปโตเคอร์เรนซี และเด็กเดี๋ยวนี้อยากเป็นพวก “อายุน้อยร้อยล้าน” กันทั้งนั้น

บางทีก็ต้องย้อนกลับไปที่เรื่องการใช้ชีวิตอย่างประมาณตน ไม่โลภ ฉลาดเลือกลงทุนกับสถาบันการเงินที่มั่นคงอย่างซื้อกองทุนธนาคาร ก็คงจะพอเป็นภูมิคุ้มกันได้ จะลงทุนอะไรคิดนานๆ ศึกษาดีๆ

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”