“การเดินทาง มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว และเราเองก็ขาดมันไม่ได้” …เป็นเสียงจาก “สาวหมวย” คนนี้ ที่กำลังเป็น “ไอดอล” ของใครหลายคน ด้วยไลฟ์สไตล์ที่มีชีวิตชีวา บวกเรื่องราวจากประสบการณ์การเดินทางทั่วโลกแบบฉายเดี่ยว ซึ่งได้รับความสนใจล้นหลาม นอกจากเธอคนนี้จะเป็นเจ้าของเฟซบุ๊ก แฟนเพจชื่อดัง อย่าง “I Roam Alone” แล้ว ตอนนี้ก็หันมาเอาดีทางขีดเขียน โดยมีพ็อกเกต บุ๊ก 2 เล่ม คือ “มิตรภาพระหว่างเส้นทางสายทรานส์ไซบีเรีย-I Roam Alone Thai-Siberia” กับ “I Roam Alone Trekking Through South America-ห้องเรียนแห่งขุนเขาอเมริกาใต้” วันนี้ทีม “วิถีชีวิต” จะพาไปสัมผัสเรื่องราวของเธอ…

กับ “มิ้นท์-มณฑล กสานติกุล”

มิ้นท์-มณฑล วัย 27 ปี เล่าประวัติเธอสั้น ๆ ว่า เรียนจบปริญญาตรี เอกภาษาสเปน จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไปเรียนต่อปริญญาโท วรรณกรรมสเปน ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน โดยตามหลักสูตรนี้ เรียนจริงเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น แต่เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตขลุกอยู่ที่สเปนต่ออีก 3 ปี เพราะอยากจะใช้ชีวิตเหมือนที่ฝรั่งเรียกว่า “แก๊ปเยียร์ (Gap Year)” คือหลังเรียนจบก็จะพักชีวิต 1 ปี เพื่อไปเรียนรู้โลกภายนอกมหาวิทยาลัย โดยเธอบอกว่า ก่อนเรียนปริญญาโท ตอนนั้นได้ไปอยู่ที่สเปนแล้ว ด้วยความที่เจอเพื่อนฝรั่งเยอะ ซึ่งทุกคนต่างก็ทำงานพิเศษ เธอจึงอยากลองทำบ้าง และงานพิเศษแรกที่ได้ทำคือ ไกด์นำเที่ยว โดยมีหน้าที่คือ ตอนเช้าจะพาลูกทัวร์เดินเที่ยวในเมือง กลางวันพาไปกินข้าว กลางคืนพาไปเที่ยวกลางคืน

“รายได้ส่วนใหญ่มาจากทิป ถ้าทำให้ลูกทัวร์สนุก ก็ได้เยอะ ตอนนั้นทำงานด้วย เรียนด้วย และเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่จะเดินทางคนเดียว เพราะมีโอกาสได้เจอนักท่องเที่ยวหญิงญี่ปุ่นคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางคนเดียว ด้วยความสงสัยจึงถามว่าไม่กลัวเหรอเป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียว เขาตอบกลับว่า สักครั้งในชีวิต เธอไม่ต้องมาถามฉัน แต่เธอต้องลอง คำตอบนั้นติดอยู่ในหัวตลอด 1 ปี จนจบปริญญาโท จึงตัดสินใจลองทำตามคำแนะนำของหญิงญี่ปุ่นคนนั้น”

เธอเล่าว่าตัดสินใจฉายเดี่ยวคนเดียวครั้งแรกตอนอายุ 23 ปี โดยเลือกไปเที่ยวที่หมู่เกาะอโซเรส (Azores) ของประเทศโปรตุเกส ซึ่งเลือกที่เที่ยวทุกอย่างเอง มีเพื่อนชาวโปรตุเกสคอยให้คำแนะ นำ มิ้นท์บอกว่าอยากไปเที่ยวที่เงียบ ๆ อยู่คนเดียว ทำอะไรบ้า ๆ เพื่อนจึงแนะนำที่นี่ให้ โดยเพื่อนก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน สำหรับทริปนั้นใช้เวลาเที่ยวอยู่ 3 สัปดาห์

“คิดว่าจะไป เช็กตั๋วเครื่องบินได้ แล้วก็เดินทางเลย พอถึงจุดหมายแล้ว จึงโทรศัพท์ทางไกลมาบอกกับแม่” …มิ้นท์เล่าถึงทริป “ฉายเดี่ยว” ครั้งแรกให้ฟัง ก่อนเล่าอีกว่า ทริปนั้นเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก เพราะวางแผนไม่ดี ทั้งที่จริงก็สนุก แต่ไม่เหมาะกับการเดินทางลำพังคนเดียว เพราะไม่มีขนส่งสาธารณะ ต้องเช่าแท็กซี่ตลอด ทำให้มีค่าใช้จ่ายเยอะ ราว ๆ 1 แสนบาท และกับความรู้สึก “ทริปเดินทางคนเดียว” นั้น มิ้นท์บอกว่า นอกจากอุปสรรคของการเดินทาง ยังต้องสู้กับความรู้สึกเหงา ความรู้สึกที่อยากกลับบ้าน อีกทั้งทริปนั้นยังเจอคนไม่ดี เจอคนไล่ออกจากที่พัก จนต้องแอบไปนั่งร้องไห้คนเดียว ถึงกระนั้น ก็ยังมีโชคที่ได้เจอคนที่ดี ขณะเดียวกันก็ทำให้เจอคนที่ดีด้วย ที่เธอบรรยายภาพไว้ว่า “เหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ยังไงยังงั้น”

สาวหมวยนักเดินทางคนเดิม เล่าว่า บทเรียนทริปแรกสอนให้เห็นด้านไม่ดีจากการเดินทาง สมัยก่อนคุณแม่จะเลี้ยงดูเธอแบบไข่ในหิน ไปเที่ยวไหนก็ต้องไปกับเพื่อนตลอด แต่ทริปนี้ต้องไปคนเดียว ทำให้ทุลักทุเล ส่วนความกังวลต่าง ๆ นานานั้น เธอบอกว่าโยนทิ้งออกไปหมด มีแต่ลูกบ้าล้วน ๆ ไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง เดินทางคนเดียวได้แล้ว สบายมาก พอจบทริปกลับมา ก็ได้รับบทเรียนและประสบการณ์ที่จำได้ไม่ลืม

“การเดินทางแบบนี้ก็เหมือนแส้ที่คอยเฆี่ยนตีเรา ให้เราเจ็บนิดนึง หรือเหมือนกับดินสอที่เราต้องหมั่นเหลา ตอนเหลาจะเจ็บ จากนั้นดินสอจะแหลมคม เหมือนการเดินทาง เจ็บแต่คุ้ม” เป็นบทเรียนที่สาวนักเดินทางวัย 27 ปีคนนี้พบ

เธอยอมรับว่าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เป็นคนไม่ชอบเดินทาง ขี้กลัว ขนาดไปเข้าค่ายยังร้องไห้จะกลับบ้านเลย อีกอย่างตอนนั้นติดความสบาย ไม่ชอบความลำบาก จึงมีความฝันอยากเป็นภรรยาทูตมาตลอด

“เลือกเรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เพราะมีความหวังว่าจะได้สามีเป็นท่านทูต เวลามีคนถามว่าอยากเป็นอะไร ก็ตอบว่าอยากเป็นภรรยาทูต ตอนนั้นคิดเป็นแบบนี้จริง ๆ นะคะ แต่ตอนนี้เปลี่ยนความฝันแล้ว อยากเป็นนักเดินทางเต็มตัว ซึ่งสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนความฝัน คือการหลุดพ้นจากความกลัว เวลาเราบอกว่าฝันอยากเป็นอะไร ถ้าเรายังไม่รู้จักมัน นั่นก็ยังไม่เรียกว่าฝันแท้ แต่เป็นฝันเทียม จนได้มาเดินทาง ได้เห็นด้านดีและไม่ดีของมันทั้งหมด จนตัดสินใจได้ว่าเรายอมรับได้ แม้กระทั่งด้านที่ไม่ดีนะ นี่แหละที่เรียกว่าฝันแท้ของเรา”

ในฐานะ “นักเดินทางระดับมืออาชีพ” เธอพูดถึงหลักในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวว่า ปกติจะมีเป้าหมายในการเดินทางก่อนว่าอยากเห็นอะไร ภูเขาธรรมดาหรือภูเขาไฟ อยากเห็นสัตว์ชนิดนั้นชนิดนี้ หรืออยากเห็นชนเผ่า จากนั้นจึงเริ่มวางแผน เช็กตั๋ว จองตั๋วว่าแต่ละที่ต้องไปอย่างไร แล้วก็จองที่พัก รวมทั้งดูเป้าหมายหลักของทริปว่าอยากจะไปที่ไหนบ้าง สัก 3-4 แห่ง ที่เหลือค่อย ๆ คลำหาทางไปเอง นอกจากนี้ ยังต้องคำนวณเวลาในแต่ละสถานที่ด้วย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตั้งแต่ 5 วันขึ้นไป หรือบางทีก็อาจลากยาวไปกว่า 8 เดือนก็มี ทั้งนี้ เธอบอกว่า การเดินทางเหมือนเป็นศาสนาของเธอ ทำให้เธอได้เรียนรู้ทุกอย่างในการใช้ชีวิต รู้จักรอ รู้จักอดทน รวมถึงรู้จักให้อภัยความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งการเดินทางไม่เพียงสร้างสีสันให้กับชีวิต แต่เปลี่ยนความคิดด้วย

“แต่ละทริปย่อมมีอุปสรรค และต้องเจอเรื่องดีกับเรื่องไม่ดี ซึ่งถ้าเรามองอุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตก็เรียบง่ายขึ้นเยอะ” …สาวนักเดินทางกล่าว ก่อนพูดถึงเรื่องนี้อีกว่า สำหรับเธอ การท่องเที่ยวไม่ใช่แค่กิจกรรมยามว่าง แต่คืออาชีพและตัวตนของเธอจริง ๆ อย่างเวลาเดินป่าก็คล้ายกับการเดินจงกรม เพราะได้เห็นทั้งทุกข์และสุข ทำให้ค้นพบความหมายในชีวิต หรือเวลาที่นั่งรถไปท่องเที่ยวก็จะเป็นช่วงที่ได้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งทำให้มีความสุขมาก และเธอก็ยังบอกว่า“การเดินทางช่วยดึงเราให้อยู่กับปัจจุบันได้ ทำให้เราระลึกและดีใจเสมอว่า ตอนนี้เราโชคดีที่ยังได้ใช้ชีวิตอยู่”

มิ้นท์บอกว่า ตอนนี้เดินทางเที่ยวรอบโลกมาได้ 4 ปีแล้ว โดยเคยเดินทางมาแล้วประมาณ 70-80 ประเทศ ซึ่งแต่ละที่ก็จะต่างกัน ทั้งทัศนียภาพ คน วัฒนธรรม รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ และเคยมีที่ไม่ได้อาบน้ำนานสุดอยู่ที่ 8 วัน!!! ซึ่งทริปนั้นไปเดินป่าที่ประเทศสวีเดนกับประเทศรัสเซีย นี่แหละคือธรรมชาติ เพราะมนุษย์ปรับตัวได้เร็วมาก ไม่ได้อาบน้ำ แต่ก็อยู่ได้ และเมื่อถามถึงการสนับสนุนจากครอบครัว เธอเล่าว่า ครอบครัวรับรู้และสนับสนุนมาตลอด แต่ก็มีห่วงบ้าง เพราะเป็นลูกสาวคนเดียว อย่างไรก็ตามครอบครัวเข้าใจดีว่าคือความสุขเรา และทุกครั้งที่จะเดินทางก็จะโทรฯ บอกตลอด เพื่อจะได้ไม่เป็นห่วงมาก แต่บางครั้งก็ลืมโทรฯ เพราะเที่ยวสนุกเพลิน จนทางครอบครัวต้องส่งข้อความในไลน์มาถามว่า… ตายหรือยัง?

“เพลินไปนิด เขาก็ห่วงสิ เพราะไม่มีความเคลื่อนไหวเลย บัตรก็ไม่มีการกดเงิน ก็คิดไปต่าง ๆ นานา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกฉัน ก็ไลน์มาตลอดว่าตายหรือยัง (หัวเราะ) ซึ่งบางครั้งเราจะเงียบ ๆ แต่ไปกดเงินใช้ เค้าก็จะไม่ห่วงมาก เพราะถ้ากดเงินออกไป เค้าจะรู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เพราะคุณแม่เป็นคนดูแลเรื่องเงินในบัญชีเราทั้งหมด เพราะปีแรกคุณแม่จะเป็นสปอนเซอร์หลักให้เลย แต่หลังจากนั้น เราจะใช้เงินของตัวเองที่หาได้”

สำหรับเรื่องภาษานั้น มิ้นท์บอกว่า พูดได้ 4 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ สเปน และจีน ในความเห็นของเธอ เธอมองว่าการเดินทางบางทีก็ไม่ต้องถึงกับภาษาเป๊ะ ๆ ไม่ต้องพูดคล่อง ก็ท่องเที่ยวได้ เพราะจากประสบการณ์ บางประเทศก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ แต่ก็สื่อสารกันพอรู้เรื่อง และยังสามารถใช้วิธีอื่นช่วยสื่อสารได้ เช่น ภาษากาย ภาษามือ ภาษาตา ภาษาเขียน จึงฝากถึงสาว ๆ หลายคน ที่อยากเที่ยวฉายเดี่ยวแบบเธอ แต่ไม่กล้าไป เพราะกลัว ก็ต้องเริ่มจากปลดความกลัวเสียก่อน ถ้าเอาชนะความกลัวไม่ได้ก็คงยาก เพราะการเดินทางแบบนี้ นอกจากต้องไม่กลัว ก็ต้องมีสติ และบางครั้งก็มีที่ต้องใช้ลูกบ้าเหมือนกัน!!!

“จะรออะไรล่ะคะ? อยากรู้ก็ต้องลอง ไม่ต้องถาม” …เธอหยิบยืมคำตอบจากนักเดินทางหญิงชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นคนแรกที่ปลุกแรงบันดาลใจ และจุดประกาย จนเธอก้าวเดินมาได้ไกลถึงวันนี้ ในวันที่เธอได้กลายเป็น “สาวฉายเดี่ยว”

“มิ้นท์-มณฑล กสานติกุล”
สุรางค์รัตน์ เจนการ : เรื่อง / วรพรรณ เลอสิทธิศักดิ์ : ภาพ