ส่วนหนึ่งในรายงานของคณะตรวจสอบซึ่ง ยื่นเสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริการะบุว่า เปียงยางยังคงแสวงหาวัตถุดิบและเทคโนโลยี สำหรับโครงการอาวุธร้ายแรงทั้งสองประเภทจากต่างแดน

จากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ บทสรุปรายงานของคณะตรวจสอบเขียนว่า “แม้ประเทศจะมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเลวร้ายลง แต่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลียังคงมี และพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ และโครงการขีปนาวุธ”

ตอนนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จากสำนักงานเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรเกาหลีเหนือประจำองค์การสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์ก ต่อรายงานของคณะตรวจสอบยูเอ็น จากการติดต่อสอบถามของสำนักข่าวรอยเตอร์

เกาหลีเหนือประเทศถูกโดดเดี่ยวแห่งเอเชียตะวันออก ประกาศล็อกดาวน์ ปิดประเทศเข้มงวดเมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก ซึ่งทำให้การค้าขายกับโลกถายนอกและความช่วยเหลือ ถูกตัดขาดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศที่ย่ำแย่อยู่แล้ว จากผลของการถูกคว่ำบาตร

เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา นายคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เผยว่า ประเทศเริ่มเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร สถานการณ์ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับผลการเก็บเกี่ยวปีนี้

ในรายงานของคณะตรวจสอบ เขียนถึงประเด็นนี้ว่า จากแถลงการณ์ของรัฐบาลเกาหลีเหนือบ่งชี้ว่า วิกฤติด้านมนุษยธรรมกำลังถลำลึกในประเทศการปิดประเทศ เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมเลวร้ายลงอีก

การค้าขายหยุดชะงักเกือบทั้งหมด และการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรตามฤดูกาลในปีที่แล้ว ได้รับผลกระทบหนักจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ ประชาชนเกาหลีเหนือทุกข์ เดือดร้อนเป็นวงกว้างทั่วประเทศ

เกาหลีเหนือถูกองค์การสหประชาชาติคว่ำบาตรนับตั้งแต่ปี 2549 จากการพัฒนาอาวุธร้ายแรงในโครงการนิวเคลียร์ และโครงการขีปนาวุธ และต่อมาคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นมีมติให้คว่ำบาตรอีกหลายครั้ง เพื่อพยายามตัดท่อน้ำเลี้ยงเงินทุนสนับสนุนทั้งสองโครงการ

ส่วนหนึ่งของมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ คือห้ามส่งออกถ่านหิน และแร่เหล็กสินค้าที่เคยทำรายได้หลักเข้าประเทศ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ รวมทั้งห้ามเกาหลีเหนือนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ห้ามนานาชาติขายน้ำมันให้

รายงานของคณะตรวจสอบเขียนในประเด็นนี้ว่า “การส่งออกทางทะเลจากเกาหลีเหนือถ่านหินและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในบัญชีคว่ำบาตรยังคงดำเนินอยู่ แต่ในระดับที่ลดลงอย่างมาก และการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างมากเช่นกัน ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้”

นอกจากนั้น เกาหลีเหนือยังคงสามารถเข้าถึงสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และชาวเกาหลีเหนือกว่า 100,000 คนที่ทำงานอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ยังส่งเงินกลับให้ครอบครัวในประเทศ โดยเงินส่วนใหญ่จะถูกรัฐบาลหัก เพื่อนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ของรัฐ

เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือที่ประจำอยู่ในสถานทูต หรือสำนักงานตัวแทนในประเทศต่าง ๆ ถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นรายได้จากทำงานของชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งทำงานอยู่ในประเทศนั้น ๆ

คณะตรวจสอบ ฯ ยังคงเดินหน้าสอบสวน หาความเกี่ยวพันของเกาหลีเหนือ กับกิจกรรมไซเบอร์ทั่วโลก รวมทั้งความร่วมมือระหว่างนักวิชาการและมหาวิทยาลัยในเกาหลีเหนือกั บสถาบันวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศ โดยเน้นการศึกษาวิจัยที่สามารถนำไปใช้กับการพัฒนาโครงการอาวุธทำลายล้างสูง

รายงานของคณะตรวจสอบของยูเอ็นครั้งก่อนหน้านี้ ระบุว่า เกาหลีเหนือสร้างรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการโจมตีไซเบอร์ในต่างแดน.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : REUTERS