ตราบใดที่การเปลี่ยนแปลง กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ แรงกระเพื่อมทางการเมือง และรายชื่อต่างๆก็ยังขยับได้ตลอด ยิ่งมีข่าวกรรมการบริหารพรรคชุดเดิม จะใช้วิธีซื้อเวลา เพื่อให้กระแสสังคมกดดัน แกนนำพปชร. ที่ต้องการเปลี่ยนผู้บริหารพรรคชุดใหม่ เพื่อดำรงสถานะเดิมอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม “นายอุตตม สาวนายน“ รมว.คลัง และรักษาการ หัวหน้าพรรค พปชร. ได้ชี้แจงถึงการเรียกประชุมรักษาการกรรมการบริหารพรรค เพื่อหารือกำหนดวันจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการของนายทะเบียนพรรคการเมืองตามขั้นตอน แต่สัปดาห์หน้า จะยังไม่มีการเรียกประชุม กรรมการบริหารพรรคอย่างแน่นอน

พร้อมทั้งยืนยันว่า ไม่มีแรงกดดันใดๆ ในขณะนี้ ส่วนที่สมาชิกพรรคอาจเลือกใช้ช่องทางตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา41 รวมตัวการเสนอชื่อร้องขอให้เปิดประชุมวิสามัญ เพื่อที่จะขอให้เปิดประชุมใหญ่สามัญประจำปีเองนั้น ตนเห็นว่าหากทำได้ตามกฎหมาย ก็แล้วแต่สมาชิกจะดำเนินการ

“ขอยืนยันว่าการจัดการประชุมใหญ่ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และในการประชุมก็จะบรรจุวาระเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ภายในกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างแน่นอน ไม่มีคำว่าล่าช้าทุกอย่างกำลังดำเนินการตามขั้นตอน” นายอุตตม กล่าว

ด้าน “นายวิเชียร ชวลิต” ส.ส.บัญชีรายชื่อ  ในฐานะนายทะเบียนสมาชิกพรรคพปชร. กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการประสานเตรียมเชิญ ประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาได้ ส่วนในสัปดาห์หน้า จะมีการประชุมประจำสัปดาห์ของ ส.ส. เพื่อรับทราบมติของวิปรัฐบาลตามปกติเท่านั้น

สำหรับการประชุมกรรมการบริหารพรรค ขณะนี้สถานะตามกฎหมาย คือ การพ้นสภาพทั้งคณะ ดังนั้นหากจะมีการเรียกประชุม ก็จะเป็นการประชุมของรักษาการกรรมการบริหารพรรค ทั้ง 34 คน ไม่ใช่ 16 คนที่ไม่ได้ยื่นใบลาออก

นายวิเชียร ยังกล่าวถึงกรณีที่อาจจะมีสมาชิกพรรคบางส่วน ใช้ช่องทางตามมาตรา 41 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่ให้เข้าชื่อร่วมกันตามเงื่อนไข ยื่นคําร้องขอให้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคการเมือง เพื่อขอให้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี โดยไม่ต้องรอหัวหน้าพรรคกำหนดนั้น ต้องชี้แจงว่า การประชุมใหญ่สามัญประจำปีเดิมพรรคกำหนดจะจัดขึ้นในเดือนเม.ย.นี้

แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงทำให้ เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการจัดขึ้น จึงไม่มีเหตุอันเป็นเงื่อนไขให้สมาชิกพรรค ใช้ช่องทางดังกล่าว ในการยื่นเพื่อขอกำหนดจัดการประชุมใหญ่ได้เอง

“ขอให้สมาชิกเข้าใจและยืนยันว่าการดำเนินการทุกอย่างจะเป็นไปตามขั้นตอนและกรอบเวลาของกฎหมาย ไม่มีการดึงเกม หรือทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากการเตรียมการจัดประชุมขนาดใหญ่ ที่มีคนจำนวนมาก ต้องจัดหาสถานที่ และนัดวันเวลาที่เหมาะสม ถึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาด้วย”นายทะเบียน พรรค กล่าว

ฟังสุ่มเสียงของ รักษาการหัวหน้าพรรคพปชร. และนายทะเบียนพปชร. ก็อาจจะมั่นใจได้ว่า คงไม่มีเกมเตะถ่วง ไม่มีการดึงเวลา เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หัวหน้าพรรคพปชร. และเลขาธิการพรรค ต้องล่าช้าทอดยาวออกไป ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เตรียมแก้เกมโดยใช้ช่องทางกฎหมาย เพื่อจัดให้มีการประชุมพรรคโดยเร็ว

ขณะที่ทางด้าน “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” รองหัวหน้าพรรคพปชร. ซึ่งเป็น 1 ใน  16 รักษาการกรรมการบริหารพปชร.กล่าวว่า สำหรับการเรียกประชุมพรรคเพื่อตั้งกรรมการบริหารชุดใหม่นั้น

จนถึงขณะนี้นายอุตตม ยังไม่มีการนัดหมายกรรมการบริหารพรรคที่เหลือ 16 คน  เพื่อกำหนดวันประชุมใหญ่สามัญ สถานที่ และระเบียบวาระการประชุม  และหากยังไม่มีความชัดเจน ตนเห็นว่าสัปดาห์หน้าจะพิจารณา ใช้แนวทางของกฎหมายดำเนินการ

เพื่อขอให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ภายหลังจากที่ อดีตกรรมการบริหารพรรคลาออก 18 คน ให้เป็นไปตามข้อบังคับทางกฎหมาย ทั้งนี้การใช้มาตรการทางกฎหมายเพราะคาดว่าอาจจะมีการยื้อเวลาในการประชุมให้ล่าช้า

นอกจากนี้ “นายไพบูลย์“ ยังบอกถึงเหตุผลการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพปชร.ครั้งนี้ เป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาต่อเนื่อง เพราะทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ไม่ให้ความสำคัญในการประชุมกรรมการบริหารพรรค

รวมถึงการประชุมส.ส.ของพรรค มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเข้าร่วมน้อยครั้งโดยเฉพาะเป็นการประชุมกรรมการบริหารพรรคที่ นัดประชุมกันน้อยมาก ที่ประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา และตนเองก็ได้เข้าร่วมประชุมเพียงครั้งเดียวคือครั้งแรกที่ได้เข้ามาเป็น สมาชิกพรรค 

ขณะที่ ”พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ดูเหมือนจะเล่นบท “ลอยตัว” โยนปัญหาความขัดแย้งในพปชร.ว่า เป็นเรื่องของพรรค ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล พร้อมทั้งยืนยันว่า อำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นเรื่องของหัวหน้ารัฐบาล

เมื่อถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกรงไหมว่าจะทำให้ “รัฐนาวา” ไปไม่ถึงฝั่ง และจะต้องมีการเรียก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อปรับความเข้าใจหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คิดว่าไม่จำเป็น เพราะเป็นเรื่องของพรรคก็ให้คุยกันภายในพรรค ไม่จำเป็นที่ตนต้องไปเรียกใครมาปรับความเข้าใจทั้งสิ้น

ส่วนที่มีการมองว่าการเปลี่ยนแปลง กรรมการบริหารพรรค พปชร. ผูกโยงกับเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น ย้ำว่าการที่จะปรับครม.ได้ ก็ต้องไปว่าอีกขั้นตอนหนึ่ง ในเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล โดยนายกฯ จะพิจารณาในภาพรวม

ขณะที่ท่าที่ ”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเคยระบุว่า ไม่พร้อมหากถูกเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าพรรคพปชร.ว่า ยังไม่ถึงเวลา เพราะเมื่อถึงเวลา ก็แล้วแต่ทางพรรคและสมาชิกพรรค ซึ่งตนไม่เกี่ยว เขาเลือกกันอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น

เมื่อถามย้ำอีกครั้งว่าสามารถเป็นหัวหน้าพรรคได้และเป็นไม่ได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อืม และพยักหน้าให้สื่อแทนคำตอบ

อย่างไรก็ตามแม้จะมีเสียงคัดค้ายภายในพปชร. แต่ในที่สุด เสียงส่วนใหญ่ในพรรคก็จะสนับสนุน “พล.อ.ประวิตร” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค โดยบางฝ่ายห่วงว่า ภาพในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะถูกวิจารณ์ว่า พปชร.เป็น พรรคที่สืบทอดอำนาจจากกองทัพ เพราะในขณะที่หัวหน้ารัฐบาลก็มาจากทหาร หัวหน้าพรรคก็มาจากทหารอีก อาจจะเป็นเป้าให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้

แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถทัดทาน ความต้องการของสมาชิกพรรคพปชร ได้เพราะที่ผ่านมาด้วยอำนาจ บารมี การยอมรับ และการดูแลทุกข์สุขให้กับบรรดาสมาชิกพรรคของ “บิ๊กป้อม” จึงได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น ส่วน “นายสันติ พร้อมพัฒน์“ ถูกวางตัวให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรค

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า หลังจาก “บิ๊กป้อม” รับตำแหน่หัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ จะมีส.ส. พรรคฝ่ายค้านประมาณ 20 คน แสดงตนเป็น “งูเห่า“ พร้อมสนับสนุนรัฐบาลทุกรูปแบบ เพราะมองแล้ว รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จะมีอายุเกิน 2 ปี แถมยังมีกลไกจากพ.ร.ก. เงินกู้ เข้ามาช่วยบริหารประเทศอีกด้วย เป็นกลไกสำคัญ

ส่วนการปรับครม. คงจะเกิดขึ้น ภายหลังการจัดการกับ “โควิด-19” เสร็จเรียบร้อย แต่ในเบื้องต้น “พล.อ. ประวิตร” มีแนวโน้มจะกลับเข้ามาดูแลงานมั่นคงแบบเบ็ดเสร็จ และรวมทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อเข้ามาช่วยคัดกรอง นายตำรวจที่จะเข้ามารับหน้าที่ “แม่ทัพสีกากี” ต่อจาก “พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. ปีนี้

ส่วน ”นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งประกอบไปด้วย นายอุตตม, นายสนธิรัตน์, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  ซึ่งถูกเรียกขานว่า กลุ่ม 4 ยอดกุมาร นั้น แม้ “ บิ๊กป้อม” จะไม่พอใจ ”นายสมคิด” หลังจากถูกสื่อที่ใกล้ชิดนายสมคิด โจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ ซึ่ง นายสมคิด และนายอุตตม อาจจะมีโอกาสทำงานต่อในครม.

ขณะที่ “นายสันติ” ในฐานะ แม่บ้านพรรค จะดูแล “กระทรวงพลังงาน” และนำเก้าอี้รัฐมนตรีที่ดึงมาจาก 4 ยอดกุมาร มาจัดสรรให้แกนนำพปชร. ที่ช่วยเหลือกิจกรรมพรรค และอาจจะปรับพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคออก ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ”พล.อ.ประยุทธ์” และ “พล.อ.ประวิตร” จะหารือร่วมกัน

แต่วันนี้ แต้มต่อทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” อยู่เหนือฝ่ายตรงข้าม ยิ่ง “บิ๊กป้อม” มีเสือหมอบ เป็นพาหนะ ใครก็ยากตามทัน

…………………………………………
คอลัมน์ : สืบเสาะเจาะข่าว
โดย :  “ระฆังแก้ว”