นายนาจิบ ราซัค ถือเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ซึ่งต้องเข้าสู่เรือนจำ ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในเดือนนี้ ซึ่งยืนบทลงโทษจำคุกอดีตผู้นำ วัย 69 ปี เป็นเวลา 12 ปี โดยไม่รอลงอาญา และจำเลยต้องชำระค่าเสียหายคืนแก่แผ่นดิน 210 ล้านริงกิต (ราว 1,682 ล้านบาท)

ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของมาเลเซียมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่านาจิบมีความผิดจริงตามคำฟ้องทั้ง 7 กระทง ซึ่งรวมถึง การละเมิดอำนาจ ฟอกเงิน และใช้อำนาจในทางมิชอบ ยักยอกเงิน 42 ล้านริงกิต (ราว 338.12 ล้านบาท) จากเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนย่อยของกองทุนพัฒนาแห่งชาติ (วันเอ็มดีบี) เข้าสู่บัญชีส่วนตัว ระหว่างจัดการกองทุนเมื่อช่วงปี 2554 ถึง 2558

Al Jazeera English

คดีของเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นคดีแรกจาก “อีกหลายคดี” ของวันเอ็มดีบี ที่มีนาจิบเป็นจำเลยคนสำคัญ หมายความว่า การต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมายของอดีตผู้นำมาเลเซีย “ยังอีกยาวไกล” ขณะที่แม้การอยู่ในกระบวนการนี้ เท่ากับเป็นการตัดสิทธิทางการเมืองของนาจิบไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูง และเจ้าตัวยังคงมีอิทธิพลอย่างมาก ในพรรคมลายูสามัคคีแห่งชาติ (อัมโน) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลมาเลเซียชุดปัจจุบัน

กำหนดการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ของมาเลเซีย คือภายในเดือน ก.ย. 2566 แต่มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน ที่จะมีการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับหลังซบเซามานาน เพราะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการที่ฝ่ายค้านชุดปัจจุบันไม่ค่อยกลมเกลียวกันมากเท่าใดนัก ทำให้พรรคอัมโนหมายมั่นปั้นมือครองเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด

นายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ซาบรี ยาค็อบ ผู้นำมาเลเซียคนปัจุบัน กล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่จะเกิดขึ้น “เมื่อถึงเวลาเหมาะสม” ขณะที่ผู้สันทัดกรณีทางการเมืองของมาเลเซียกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน ว่าหากอิสมาอิล ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีต่อในสมัยหน้า และสามารถประกาศตัวเองได้ว่า “เป็นผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง” การรักษาความเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับกลุ่มของนาจิบให้ได้ “เป็นเรื่องสำคัญ”

แผ่นป้ายประท้วงต่อต้านนายนาจิบ ราซัค ของกลุ่มผู้ชุมนุมในกรุงกัวลาลัมเปอร์

การวิเคราะห์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า นาจิบซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ระหว่างปี 2552-2561 ยังคงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้ทรงอิทธิพลตัวจริง” ที่จะกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ของมาเลเซียจะเป็นการชี้วัด ว่ามาเลเซียจะกลับมามีเสถียรภาพได้อีกครั้งหรือไม่ และคงสถานะในฐานะ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงตอนนี้ มาเลเซียเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 3 คน ตั้งแต่ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด มาจนถึงนายมูห์ยิดดิน ยาสซิน และผู้นำคนปัจจุบัน คือ อิสมาอิล สถานการณ์หลังจากนี้สำหรับพรรคอัมโน คือการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมให้ชาวมาเลเซียได้ประจักษ์ ว่าพรรคอัมโนถอดบทเรียน และเรียนรู้จากความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นกับนาจิบ

อย่างไรก็ดี นาจิบใช่ว่าจะหมดสิ้นหนทางในการออกจากเรือนจำก่อนกำหนด แต่วิธีดังกล่าวอาจต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อน นั่นคือ การยื่นคำร้องขอรับพระราชทานอภัยโทษจากสมเด็จพระราชาธิบดี ซึ่งทุกฝ่ายมองว่า โอกาสอยู่ที่ 50-50 โดยนาจิบต้องยื่นเรื่องภายใน 14 วัน นับตั้งแต่เข้าสู่เรือนจำ หากปล่อยให้ล่วงเลยหลังจากนั้น อดีตผู้นำมาเลเซียต้อสูญเสียที่นั่งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย

นายอาหมัด ซาฮิด ฮามิดี หัวหน้าพรรคอัมโน ทักทายกลุ่มผู้สนับสนุน ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

แน่นอนว่า คดีความที่เกิดขึ้นกับนาจิบ ทำลายภาพลักษณ์ของพรรคอัมโนไปมาก โดยอดีตผู้นำมาเลเซียต้องขึ้นศาลเพื่อต่อสู้ตามกระบวนการกับอีกอย่างน้อย 4 คดี โดย 3 คดีเกี่ยวข้องกับมหากาพย์ทุจริตวันเอ็มดีบี ส่วนอีกคดีหนึ่งเกี่ยวข้องกับการล้มละลาย ที่สำนักงานสรรพากรแห่งชาติเป็นโจทก์ หากศาลตัดสินให้นาจิบเป็นบุคคลล้มละลาย อดีตผู้นำมาเลเซียจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองทันที

นาจิบซึ่งเป็นบุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรี อับดุล ราซัค ฮุสเซ็น เข้าสู่เส้นทางการเมือง ด้วยวัยเพียง 23 ปี สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักการเมืองอายุน้อยที่สุดของมาเลเซีย ซึ่งได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าเส้นทางของนาจิบนับจากนี้จะเป็นเช่นไร ทุกฝ่ายในมาเลเซียคงต้องยอมรับว่า อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นียังคงเป็น “ผู้คุมเกม”.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : REUTERS, GETTY IMAGES