ขณะที่ในแถลงการณ์นั้น “จีนระบุในเชิงดักคอไทย” บางช่วงบางตอนมีว่า… “จีนเชื่อว่าประเทศไทยในฐานะที่เป็นมิตรประเทศของจีน จะยึดมั่นในความเที่ยงธรรมและความเป็นธรรมของหลักสากล สนับสนุนความพยายามของจีนในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน…”

“ศึกอำนาจจีน-สหรัฐ” ศึกนี้ “ล่อแหลม”

แถม “ไทยก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวโยงด้วย”

“จะพ้นบ่วงศึก” นี่ ท่าทีไทยสำคัญยิ่ง”

ทั้งนี้ “ศึกอำนาจ” เกมอำนาจ ระหว่าง 2 บิ๊กโลก “พญามังกรจีน VS พญาอินทรีสหรัฐ” นั้น แม้ไม่ถึงขั้นเป็นศึกที่ประเคนอาวุธใส่กันโดยตรง แต่เพียง “พยายามดำรงพลังอำนาจ-พยายามแสดงพลังอำนาจ” แค่การ “เล่นเกมอำนาจ” ของแต่ละฝ่าย…นี่ก็สามารถทำให้ “สถานการณ์โลกร้อนฉ่า!!” ขึ้นในบัดดลแล้ว!!

และก็อย่างที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” เพิ่งสะท้อนผ่านแพลตฟอร์ม “เดลินิวส์ออนไลน์” เมื่อวันก่อน โดยอ้างอิงจากบทวิเคราะห์โดย สมบูรณ์ เสงี่ยมบุตร ปริญญาเอกกฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยปารีส จากหนังสือ “สนามดุลแห่งอำนาจ” ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ พ.ศ. พัฒนา ซึ่งเคยมีการนำเสนอเป็นรายงานพิเศษใน “หนังสือพิมพ์เดลินิวส์” ช่วงต้นปีถึงก่อนกลางปี ค.ศ. 2016 ที่หลักใหญ่ใจความส่วนหนึ่งนั้นมีว่า…  

“สหรัฐเห็นจีนเป็นประเทศใหญ่ที่มีศักยภาพเป็นอภิมหาอำนาจ ตั้งแต่ในช่วงที่จีนยังเป็นประเทศที่ล้าหลังมาก และยังไม่ได้มีการพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัย…” …ซึ่งนี่ก็เป็นการฉายภาพว่า…

“จีนก็เด่นในเกมอำนาจโลก” มาแต่ต้น

และเมื่อมาถึงตอนนี้ ที่จีนพัฒนามาไกล-ไปไกลมาก ๆ… เมื่อเกิดกรณี “ไต้หวัน” ที่จีนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนตนมาแต่แรก ขณะที่สหรัฐแม้จะบอกว่ายอมรับจีนเดียวมานานแล้วแต่ก็เดินเกมไม่ยุติสัมพันธ์เชิงการทูตระหว่างสหรัฐ-ไต้หวัน เมื่อเกิด “พิพาทกรณีไต้หวัน” การพิพาทระหว่าง “สหรัฐ VS จีน” นี่ก็จึงย่อมจะเป็น “คู่ศึกอภิมหาอำนาจโลก” อย่างมิต้องสงสัย!! โดยที่ “ทั่วโลกต่างต้องจับจ้องไม่กะพริบตา!!”

“สหรัฐอเมริกา” เป็นประเทศอภิมหาอำนาจโลกประเทศเดิม ที่ มีอิทธิพลหลาย ๆ ด้าน ต่อหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงต่อประเทศไทย ขณะที่ “จีน” เป็นประเทศอภิมหาอำนาจโลกประเทศใหม่ ที่  ก็มีอิทธิพลหลาย ๆ ด้าน ต่อหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงต่อประเทศไทยด้วยเช่นกัน ดังนั้น งานนี้ก็จึง “ไม่ง่ายกับไทย”

ทั้งนี้ กับสถานการณ์ “สหรัฐ VS จีน” สถานการณ์ที่มี “ไต้หวัน” อยู่ตรงกลาง และก็มี “อีกมากมายหลายประเทศทั่วโลก” โยงอยู่ด้วยนั้น… นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ให้ความคิดเห็นผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาว่า… การเดินเกมของทั้งสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้เกิดความตื่นเต้น ซึ่งระยะหลัง ๆ มาจีนเองก็ค่อนข้างใช้มาตรการที่แข็งกร้าวคุกคามไต้หวัน ทางสหรัฐก็มองว่าอันตราย กลัวว่าจีนอาจบุกไต้หวัน เป็นเหตุผลที่ “สหรัฐเข้ามาท้าทายจีน” โดยพร้อมช่วยเหลือไต้หวัน

“ต่างฝ่ายต่างต้องแสดงความเข้มแข็งให้ทั่วโลกเห็น รวมทั้งประชาชนของตัวเองเห็น เพื่อเป็นเครื่องมือสร้างคะแนนเสียง อย่าง สี จิ้นผิง ก็ต้องมีท่าทีแข็งกร้าว เพราะกำลังจะต่ออายุการนั่งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 จึงต้องสร้างประชานิยม ฝั่งอเมริกาอีกครึ่งเทอมจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ ทางโจ ไบเดน ก็ต้องเรียกคะแนนเสียง เพราะฉะนั้นแนวโน้มความขัดแย้งนี้จะอยู่ไปอีกนาน” …รศ.ดร.สมชาย ระบุ และว่า…แต่ถึงจะอย่างไรทั้งสองประเทศก็จะเลี่ยงการปะทะหรือการ “ทำสงคราม” กัน

เว้นแต่เกิดเรื่องบังเอิญ “แอคซิเดนท์!!”

ส่วนกับ “ไทย” ที่มีสัมพันธ์และต้องพึ่งพาทั้ง “สหรัฐ” และ “จีน” โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และ “ทำท่าว่าจะอยู่ยาก??” กับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ รศ.ดร.สมชาย บอกว่า… ประเทศไทยอาจจะได้รับผลกระทบอยู่บ้างเรื่องเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่หนักมาก จะไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงทิศทางเศรษฐกิจของไทย อย่างไรก็ตาม…

“ไทยต้องถ่วงดุลความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนให้ดี วางตัวเป็นกลาง นี่ก็เป็นจุดยืนที่ไทยทำอยู่ ซึ่งก็ต้องทำไปแบบนุ่มนวลโดยไม่ทำให้ฝ่ายใดไม่พอใจ ต้องดำเนินไปในลักษณะที่เป็นมิตรของทั้งสองฝ่าย ต้องไม่แสดงออกว่าไปฝักใฝ่ ไปอยู่ข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ”

“ศึกอวดพลัง!!” คู่บิ๊ก “มังกร VS อินทรี”

“ไทยแค่บอกไม่ยุ่ง” แค่นี้ ไม่พอรอด!!”

“ชั้นเชิงไทย??” จากนี้…ก็ต้องลุ้น??” .