“Rurouni kenshin the beginning: ซามูไรพเนจร ปฐมบท” เป็นหนังภาคจบของซีรีส์ rurouni kenshin ที่มี 5 ภาค คือ Rurouni Kenshin: Origins (2012), Rurouni Kenshin: Kyoto Inferno (2014), Rurouni Kenshin: The Legend Ends (2014), Rurouni Kenshin: The Final (2021) และ Rurouni Kenshin: The Beginning (ทุกภาคชมได้ใน Netflix) โดย Rurouni Kenshin หรือ “ซามูไรพเนจร” ประสบความสำเร็จตั้งแต่เป็นมังงะในยุค 90 โดย อ.โนบุฮิโระ วาทซึกิ (Nobuhiro Watsuki) เรื่องราวในยุคเริ่มต้นการปฏิรูปเมจิ ของซามูไรพเนจรผู้มีรอยแผลเป็นรูปกากบาทที่แก้มซ้าย ที่คอยช่วยเหลือผู้คนด้วยดาบสลับคม ทำเป็นอะนิเมะในยุคก่อนปี 2000 มีอีกชื่อ คือ “Samurai X: ซามูไร เอ็กซ์” จนมาทำเป็นภาพยนตร์ Live Action ในปี 2012 โดยมี “ทาเครุ ซาโต้” (Takeru Satoh) รับบทตัวเอก “ฮิมุระ เคนชิน” ตลอดมาทั้ง 5 ภาค
ในภาคก่อน “Rurouni kenshin: The final” เคนชินได้จบเรื่องราวการถูกตามล้างแค้นและความเศร้าในใจให้หมดไป และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคาโอรุแล้ว แต่ในภาค The final ได้ทิ้งปมความเชื่อมโยงเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เคนชินมีความเงียบขรึม หม่นเศร้า ไม่ค่อยร่าเริง อย่างที่เรารู้จักมาตลอด 3 ภาคแรก เรื่องเหล่านี้เล่าในภาค The beginning ถึงชีวิตของเคนชินในตอนเริ่มเป็น “มือพิฆาตบัตโตไซ” และความรักต่อ “โทโมเอะ” ภรรยาคนแรก รับบทโดย “คาซุมิ อาริมุระ” (Kasumi Arimura) โดยเล่าจากจุดของเหตุการณ์ที่ทิ้งไว้ใน The final ให้เป็นเรื่องราวเต็ม เน้นที่ความรัก ความรู้สึก ของเคนชินกับโทโมเอะ เรื่องราวย้อนไปก่อนภาคแรก (ยุคการปฏิรูปเมจิที่เป็นฉากหลังของเรื่องเคนชินทั้งหมดก่อนหน้านี้) ประมาณ 15 ปี (1864) ฉากหลังภาคนี้เป็นญี่ปุ่นยุคโบราณก่อนการเปลี่ยนเป็นสมัยใหม่ และทำให้เราไม่เห็นตัวละครที่คุ้นเคย จาก 4 ภาคแรกนัก
ตัวหนังมีความแตกต่างจากเคนชินในภาคก่อนๆ แม้จะเป็นผู้กำกับ “เคอิชิ โอโตโมะ” (Keishi Ōtomo) คนเดิม จากหนังแอ็คชั่นแฟนตาซี เป็นแนวหนังซามูไรพีเรียดดราม่า มีฉากแอ็คชันต่อสู้ของซามูไรไม่น้อย แต่โทนไม่แฟนตาซี ดูเป็นการต่อสู้ของซามูไรแบบขนบและจริงจัง ดูเป็นการฟันดาบฆ่ากันอย่างจริงจัง เลือดสาดกระเซ็นไม่บันยะบันยัง ความโหดสูงกว่าภาคก่อนๆ ที่แม้ฟันดาบฆ่ากันมาก แต่ด้วยความแฟนตาซี และเคนชินใช้ดาบสลับคม การตายและเลือดจึงไม่เยอะขนาดภาคนี้ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของเคนชินกับโทโมเอะ จากก่อนพบกันที่ต่างฝ่ายต่างมีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน ด้วยใจที่ต่างอ้างว้าง ทุกข์และเศร้า เคนชินมีความทรมานจากความขัดแย้งในจิตใจกับการทำตามหน้าที่บัตโตไซเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย จนทำให้จิตใจเย็นชาและหวาดระแวง โทโมเอะกับความเศร้าเสียใจอยากแก้แค้น เมื่อใกล้ชิดกันต่างคนต่างเข้าใจกันและทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงจนเกิดเป็นความรักต่อกัน และการเรียนรู้ชีวิตกับความสุขที่ได้รับจากการอยู่ร่วมกันทำให้ทั้งคู่เห็นจุดมุ่งหมายเดิมเปลี่ยนไป โทนหนังจึงค่อนข้างหม่นหมอง ยะเยือก ตามอารมณ์ในใจของเคนชินและโทโมเอะในช่วงแรก และเปลี่ยนแปลงโทนไปตามความรู้สึกในใจของทั้งคู่ที่เปลี่ยนไป การแสดงของทั้งทาเครุ และคาซุมิ สามารถถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกภายในของตัวละครตามช่วงเวลาได้ดี ตัวหนังอาจจะเนือยหน่อย เพราะเน้นที่การถ่ายทอดอารมณ์ของเคนชินและโทโมเอะ มีฉากแอ็คชันน้อย แต่เมื่อมีน้องคาซุมิ ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ดี ตอนดูรู้สึกว่าโทโมเอะเป็นฤดูหนาว ที่เงียบเชียบ หนาวยะเยือก หม่นหมอง เศร้า อมทุกข์ มีความซ่อนเร้น ส่วนคาโอรุเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ที่สดใส ร่าเริง เปิดเผย โทนหนังภาคนี้ก็ออกมาต่างกันตามนางเอกที่ต่างบุคลิกกัน
ในตอนจบ การสละชีวิตของโทโมเอะให้เคนชินมีชีวิตต่อไป และกลับทำหน้าที่บัตโตไซ เพื่อเป้าหมายของเคนชินที่เธอได้รับรู้และเข้าใจจนเปลี่ยนเธอจากแค้นเป็นรัก คือ พาญี่ปุ่นสู่ “ยุคใหม่ ที่สุขสงบสันติ” ก็เป็นปมในใจเคนชินที่เป็นคนฆ่าโทโมเอะเอง ทำให้เคนชินหม่นเศร้าตลอด แต่เคนชินก็มุ่งมั่นตามความปรารถนาของโทโมเอะ ในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนสู่ยุคใหม่ที่ดีกว่าเดิม และเมื่อยุคใหม่มาถึง เคนชินก็ยุติการฆ่า และจะไม่ฆ่าอีกต่อไป แต่การฆ่าคนของบัตโตไซที่ผ่านมานำมาสู่การตามไล่ล่าล้างแค้น เป็นจุดเริ่มต้นของภาค Origins และต่อๆ มา ซึ่งภาค The beginning นี้ ทำให้เราเข้าใจเคนชินและที่มาของเรื่องหลักที่เราเคยดูมา เมื่อดูจบ ก็อยากวนไปดูตั้งแต่ภาค Origins ใหม่อีกรอบ ซึ่งการดูไล่ลำดับตามที่ออกฉายให้ The beginning เป็นภาคสุดท้าย ก็ทำให้เข้าใจเรื่องและได้อรรถรสอย่างเต็มอิ่ม ดีงามสำหรับแฟนๆ เคนชิน.
ผู้เขียน : เสื้อสูทสีเหลือง