ล่าสุดโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทาง รศ.ดร.นพ.ศรัญญู ชูศรี ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโรงพยาบาลฯ และเป็นหนึ่งในทีมวิจัยเรื่องดังกล่าว ได้แถลงในรายละเอียด

โดยเปิดเผยว่า เคสนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือน ส.ค. 64 ปีที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโควิด-19 เป็นพ่อลูกชาวกรุงเทพฯ อายุ 64 ปี และ 32 ปี แต่เตียงมีไม่พอที่รักษา จึงประสานที่จะเดินทางมารักษายังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เนื่องจากมีญาติอยู่ที่หาดใหญ่ด้วย และเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวกันมา 2 คน พ่อลูก พร้อมกับแมวที่เลี้ยงเอาไว้ด้วย 1 ตัว เป็นแมวไทย สีส้ม อายุ 10 ปี

จากนั้นในวันที่ 8 ส.ค. 64 จึงมีการนำตัวผู้ป่วยโควิด-19 ทั้ง 2 คน เข้าสู่กระบวนการรักษาในหอผู้ป่วยโควิด-19 ของ ม.อ. ส่วนแมวนั้นได้มีการส่งไปให้ทางสัตวแพทย์ของโรงพยาบาลสัตว์ทำการตรวจหาดเชื้อโควิด-19 ด้วยเช่นกันในวันที่ 10 ส.ค. 64 โดยการแยงจมูก และตรวจทวารหนัก โดยสัตวแพทย์และทีมงานรวม 3 คน

แต่ปรากฏว่า ในระหว่างทำการตรวจอยู่นั้น แมวได้เกิดจามออกมาในช่วงที่กำลังเก็บสิ่งส่งตรวจ และโดนสัตวแพทย์หญิงท่านหนึ่ง อายุ 32 ปี ซึ่งในขณะนั้นสวมเครื่องป้องกันแค่ถุงมือ และหน้ากากอนามัย เท่านั้น แต่ไม่มี face shield หรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตาแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนั้นผลตรวจของแมวพบว่า เป็นบวก มีเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ส่วนสัตวแพทย์ท่านนี้หลังจากตรวจแมวได้ 3 วัน ในวันที่ 13 ส.ค. 64 ก็เริ่มมีอาการไข้ ไอ และน้ำมูก และในวันที่ 15 ส.ค. 65 ก็ตรวจพบเชื้อโควิด-19 และเข้าสู่กระบวนการรักษา โดยทั้งหมดทั้งคู่พ่อลูก แมว และสัตวแพทย์ อาการไม่หนักมาก และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หลังรักษาตัวอยู่เกือบ 10 วัน ราวปลายเดือน ส.ค. 64 และจากการติดตามทั้งคนและแมวปลอดภัย แข็งแรงดี ไม่มีอาการข้างเคียง หรือโรคแทรกซ้อนแต่อย่างใด

รศ.ดร.นพ.ศรัญญู เปิดเผยอีกว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นได้มีตั้งสมมุติฐานว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น แพร่กระจายจากสัตว์สู่คนได้อย่างไร เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยพบความเชื่อมโยงอยู่ 2 อย่างคือ ระยะการฟักตัวของโรค โดยในคนเชื้อจะอยู่ได้ราว 1 สัปดาห์ ในสัตว์ประมาณ 5 วัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันตามช่วงเวลา

และอีกส่วนคือ การตรวจลำดับเบส และรหัสพันธุกรรม จากทั้งคู่พ่อลูกเจ้าของแมว แมว และสัตวแพทย์ พบว่า ตรงกัน นอกจากนี้ยังมีการตรวจเทียบเคียงกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลัสเตอร์ใหญ่ ๆ หลายจุดใน จ.สงขลา เนื่องจากอาจเป็นไปได้ว่า แมวอาจรับเชื้อมาจากชุมชนหรือแหล่งอื่นหรือไม่ แต่พบว่า ไม่ตรงกัน จึงได้ข้อสรุปว่า แมวนั้นติดเชื้อโควิด-19 มาจากเจ้าของที่คลุกคลีกันมาตลอด และเจ้าของเองก็ไม่ทราบว่า แมวนั้นติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้ว ก่อนที่จะแพร่เชื้อไปยังสัตวแพทย์ที่ทำการตรวจ เนื่องจากแมวได้จามออกมาใส่โดยตรง ซึ่งสัตวแพทย์ไม่ได้สวมเครื่องป้องกันทั้ง face shield และเครื่องป้องกันดวงตา จึงรับเชื้อเข้าไปเต็ม ๆ ส่วนทีมงานอีก 2 คน นั้นปลอดภัย เนื่องจากไม่ได้อยู่ใกล้

รศ.ดร.นพ.ศรัญญู กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยการแพร่เชื้อโควิด-19 จากคนไปสู่สัตว์เลี้ยงในต่างประเทศมาบ้างแล้ว แต่การแพร่เชื้อจากสัตว์เลี้ยงคือแมวไปสู่คนนั้น เคสนี้น่าจะเป็นเคสแรกที่มีการนำเสนอออกมาเป็นงานวิจัยและมีข้อเสนอแนะสำหรับคนที่มีสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมว นั้น หากสงสัยว่า ตนเองอาจะตกเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือคาดว่าได้รับเชื้อโควิด-19 ให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลีหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงไปก่อนประมาณ 7-8 วัน เพื่อความปลอดภัย เพราะสัตว์เลี้ยงเมื่อได้รับเชื้อโควิด-19 แล้วนั้น ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการใด ๆ และเชื้อจะมีระยะฟักตัวอยู่น้อยกว่าคนราว 5 วัน และหายไปเองได้และการที่สัตว์เลี้ยงจะแพร่เชื้อไปสู่คนนั้นก็ยากมาก หรือน้อยมากเช่นเดียวกัน เพราะส่วนใหญ่จะมาจากการไอ จาม น้ำมูก และอุจจาระ ซึ่งสิ่งเหล่านี้น้อยมาก ๆ ที่คนจะได้สัมผัส และเมื่อสัมผัสส่วนใหญ่ก็ล้างทำความสะอาดกันในทันทีอยู่แล้วด้วย

รศ.ดร.นพ.ศรัญญู กล่าวด้วยว่า งานวิจัยดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับโควิด-19 ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยง แต่ยังถือว่าพบได้น้อยมาก แค่ขอให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และอย่าใช้เรื่องเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการไม่ดูแลสัตว์เลี้ยง หรือเอาสัตว์เลี้ยงไปปล่อย เพราะความเข้าใจผิด ๆ ส่วนการจะมี หรือผลิตวัคซีน เพื่อใช้สำหรับป้องกันโควิด-19 ในสัตว์เลี้ยงหรือไม่นั้น ทางทีมวิจัยไม่ได้มีข้อมูลในส่วนนี้ แต่หากพบการระบาดในสัตว์เลี้ยงเป็นวงกว้าง ทางภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็อาจจะเป็นผู้ศึกษาในรายละเอียดต่อไป.